Home
แนวข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ
แนวข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ
==> https://tinyurl.com/yyukno3s
ใช้พลังเท้ากันสมองไม่ให้ฝ่อ + การเดินจงกรม
ใช้พลังเท้ากันสมองไม่ให้ฝ่อ
อ่านบทความ==> คลิก
อ่านแล้วทำให้ผมนึกถึงอานิสงส์ของการเดินจงกรม ตามที่พระท่านสอน
และผมเชื่อว่า การเดินจงกรม ยังช่วยป้องกันและแก้ไขโรคอัลไซเมอร์ ได้อย่างแน่นอน
คลิกอ่าน ==> https://tinyurl.com/yyvscym2
คู่มือเตรียมสอบ O-Net ม. 6 GAT/PAT เล่ม 1
【1】คู่มือเตรียมสอบ O-Net ม. 6 GAT/PAT เล่ม 1
เฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ อยู่ที่ไฟล์ pdf หน้า 76/185
==> https://tinyurl.com/y2qgq3bd
【2】รายงานการวิจัย การสํารวจคําศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6, มัธยมศึกษาปีที่ 3, มัธยมศึกษาปีที่ 6
คําศัพท์ ป. 6 อยู่ที่ไฟล์ pdf หน้า 34/463
คําศัพท์ ม.3 อยู่ที่ไฟล์ pdf หน้า 126/463
คําศัพท์ ม .6 อยู่ที่ไฟล์ pdf หน้า 270/463
==> https://tinyurl.com/y65vf242
【3】ข้อสอบ language use & reading ป. 6 พร้อมเฉลย
==> https://tinyurl.com/y5vpnk2n
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอกกับการเดินจงกรม
ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอกกับการเดินจงกรม
【1】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก
【2】ประสบการณ์ในการเดินจงกรม
【3】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก กับการเดินจงกรม
【1】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก
ตอนที่ยังทำงานอยู่ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ผมสมัครสอบชิงทุนของกระทรวงการต่างประเทศ และสอบได้ไปฝึกอบรมระยะสั้น ๆ ที่ 4 ประเทศ คือ นิวซีแลนด์, เยอรมนี, อินเดีย และสวีเดน นี่เป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะนอกจากได้ความรู้ ยังได้เพื่อน และได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษจริง ๆ ในช่วงเวลาที่ยาวเป็นเดือน
สำหรับผม ข้อสอบของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ค่อนข้างยาก ซึ่งมักจะมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ Reading และ Listening ส่วนของ Reading นั้นง่ายกว่า เพราะถ้างงหรือไม่แน่ใจก็อ่านซ้ำได้ ส่วนนี้ผมทำคะแนนได้เยอะ แต่ส่วน Listening นั้นผมทำได้คะแนนน้อยกว่า และไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกอย่างนี้ เพราะทุกครั้ง Listening จะสอบก่อน แล้วจึงค่อยให้ทำส่วน Reading จนหมดเวลา พูดง่าย ๆ ก็คือ ส่วนของ Listening นั้น ทำแล้วทำเลย ไม่มีโอกาสฟังซ้ำ แต่ส่วนของ Reading ถ้างงหรือไม่แน่ใจตรงไหนก็อ่านซ้ำได้ แต่ก็ต้องรีบ ไม่อย่างนั้นจะหมดเวลาก่อนทำครบทุกข้อ
เมื่อหมดเวลาและเดินออกจากห้องสอบ บ่อยครั้งที่ผมได้ยินผู้เข้าสอบหลายคนคุยบ่นว่า Listening ฟังไม่รู้เรื่องเลย ที่ตลกก็คือ ฟังเรื่องเดียวกันแต่เข้าใจไปคนละเรื่อง เข้าทำนองคนหนึ่งบอกว่า ข้อสอบเขาถามเรื่องดวงจันทร์ แต่อีกคนหนึ่งบอกว่าเขาถามเรื่องดาวอังคาร อะไรทำนองนี้ เรื่องของเรื่องก็คือ ข้อสอบชิงทุนของกระทรวงการต่างประเทศมักจะยากแบบยอกย้อน กินมันไม่ได้ง่าย ๆ หลายข้อลวงให้เราตอบผิดอย่างมั่นใจ
ถ้ามีเพื่อนที่ไปเข้าสอบชิงทุนถามผมว่า ทำยังไงให้สอบ Listening ได้คะแนนเยอะ ๆ คำตอบของผมจะเหมือนกันทุกครั้ง คือ คนเข้าสอบชิงทุนไปเมืองนอกก็เหมือนนักมวย คือ (1) ก่อนขึ้นชกบนเวทีต้องซ้อมให้หนัก และ (2) ขณะที่กำลังชกบนเวทีต้องมีสติและสมาธิ อย่าเผลอ เผลอเมื่อไหร่อาจถูกคู่ต่อสู้สอยร่วงเมื่อนั้น การทำโจทย์ Listening ก็เช่นเดียวกัน คือ ก่อนเข้าห้องสอบต้องซ้อมมาให้ดี และขณะอยู่ในห้องสอบสมาธิต้องมั่นคง เผลอเมื่อไหร่อาจถูกข้อสอบ Listening สอยร่วงเมื่อนั้น คือไม่รู้ว่าควรจะตอบข้อ A, B, C หรือ D
การฟังอย่างมีสมาธิแปลว่าอะไร ? มันแปลว่า ขณะที่ฟัง - ให้เอาความคิดทั้งหมดจดจ่อกับประโยคที่กำลังฟัง และขณะที่อ่าน multiple choice เพื่อตอบ - ให้เอาความคิดทั้งหมดจดจ่อกับประโยคหรือที่กำลังอ่าน ทำเสร็จข้อใดข้อหนึ่งแล้วก็แล้วกัน อย่าปล่อยให้ความกังวลหรือความพะวงค้างใจ และทำข้อถัดไปด้วยใจที่ไม่ว่างหรือไม่เต็มร้อย เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้ทุกข้อ คือทุกครั้งที่ฟังเพื่อทำข้อใหม่ ความคิดของเราก็จะคล้ายมีดที่ทื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อฟังผ่านไปถึงข้อท้าย ๆ อาจจะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย คล้าย ๆ กับฟังพระสวดอภิธรรมเป็นภาษาบาลีตอนไปงานศพ
สรุปก็คือ ขณะที่ฟังข้อสอบ ให้มีสมาธิอย่างเต็มที่ต่อประโยคที่กำลังฟัง ไม่ใช่ไปพะวงกับประโยคที่ฟังผ่านไปแล้ว หรือประโยคข้างหน้าที่ยังไม่ได้ฟัง ถ้าทำได้อย่างนี้ โอกาสได้คะแนนดีก็มีมากขึ้น
【2】ประสบการณ์ในการเดินจงกรม
ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 มีพระรูปหนึ่งสอนผมว่า สมาธิมีลักษณะและประโยชน์ 3 อย่าง (ท่านให้ภาษาอังกฤษมาด้วย) คือ บริสุทธิ์ - pure, ตั้งมั่น - stable และเหมาะกับการทำงาน - active และการทำสมาธิจะนั่งทำหรือเดินทำก็ได้ ถ้านั่งทำเราเรียกว่านั่งสมาธิ แต่ถ้าเดินทำเราคนไทยไม่เรียกวาเดินสมาธิ แต่เรียกว่าเดินจงกรม
ผมเองตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว นั่งสมาธิได้ไม่ดี ไม่เคยนั่งได้สมาธิลึกแม้แต่ครั้งเดียว คือถ้าไม่ฟุ้งก็ฟุบ ง่วงเป็นประจำ แม้จะแก้ด้วยหลาย ๆ วิธีแล้วก็ไม่หาย ตอนหลัง ๆ ผมเปลี่ยนมาใช้วิธีเดินจงกรมก็รู้สึกว่าดีขึ้น เพราะแม้ว่าสมาธิที่เกิดขึ้นจะได้แค่แผ่ว ๆ แต่ประโยชน์ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ มันเหมาะกับการงาน ทั้งการงานทางโลกและการงานทางธรรมหรือทางจิตใจ
ตรงนี้ขออนุญาตอธิบายสักนิด การงานทางโลกก็คือ เมื่อทำงานอย่างมีสมาธิ นั่นคือเมื่อความคิดนิ่งและความรู้สึกสงบ ขณะนั้นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการงานทางธรรมหรือทางจิตใจนั้น เมื่อมีความคิด(thinking) หรือความรู้สึก (feeling) เกิดขึ้นในจิตใจ ให้มองเห็นความรู้สึกนึกคิดขณะนั้น ๆ ว่า มันจะชวนให้เราพูดหรือทำอะไร สิ่งนั้น ๆ ดีงาม ถูกต้อง เหมาะสม หรือไม่ หรือถ้าปฏิบัติให้ลึกยิ่งขึ้น ก็ให้มองเห็นความจริงตามสภาพธรรมชาติของทุกความรู้สึกนึกคิดว่า มันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ที่ภาษาพระเรียกว่า อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รุนแรง ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมันมาก ดูมันไปก่อน มันอาจจะเป็นของหลอกก็ได้ คือความอยากหรือกิเลสมาหลอกให้รู้สึกอย่างนั้นหรือคิดอย่างนั้น ถ้ารออีกสักหน่อย เมื่อมันเห็นเราไม่เชื่อมัน ไม่ทำตามที่มันชวน บ่อยครั้งมันจะขี้เกียจรอ-ขี้เกียจคะยั้นคะยอเรา อาจจะไปโดยไม่บอกลาก็ได้
ผมขอเปรียบเทียบอย่างนี้ สมาธิที่ใช้ทำงานทางโลกก็เหมือนคนถือมีดคมพร้อมใช้ทำงานฟันนั่นฟันนี่ ซึ่งก็ฟันได้ดีเพราะมันคม ส่วนสมาธิที่ใช้ทำงานทางธรรมนั้นต่างกัน คือ เหมือนเราแยกร่างออกมายืนอยู่ใกล้ ๆ, มองดูตัวเองกำลังถือมีดคม, และเรายังมีสติสามารถบอกให้คนที่ถือมีดนั้น พูดหรือทำ, หรือไม่พูด-ไม่ทำ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือถ้าจะปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปกว่านั้นก็คือ ให้ปล่อยวาง เพราะไอ้คนที่กำลังถือมีดนั้น สักเดี๋ยวมันอาจจะหายแวบไปก็ได้ เพราะมันก็มันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เหมือนกัน การเห็นความคิดจิตใจและไม่ยึดมั่น จะช่วยให้พูดหรือทำอะไรด้วยใจที่ว่างและไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อย นี่คือการใช้สมาธิทำงานทางธรรม ซึ่งถ้าทำเป็นก็ไม่ขัดกับการใช้สมาธิทำงานทางโลก
ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ สมาธิจากการเดินจงกรมถ้าทำอย่างตั้งใจและต่อเนื่อง ผลก็ยิ่งใหญ่มหาศาล แต่ผมเองมักทำอย่างไม่ตั้งใจและไม่ต่อเนื่อง ผลที่ได้จึงเล็กน้อย ไม่น่าภูมิใจและไม่กล้าพูดอวดเพื่อน
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (พ.ศ. 2561) ผมล้มป่วยเพราะโรคมะเร็งระบบเลือด มันแพร่ไปที่กระดูก ระยะแรกร่างกายอ่อนแอได้แต่นอนติดเตียง โชคดีได้หมอและยาช่วยทำให้ร่างกายฟื้นเร็ว แต่กระนั้นก็เคลื่อนร่างกายและแขนขาได้ช้าและยังโคลงเคลงอยู่บ้าง และแม้แต่จะพูดก็ช้าลง แต่นี่กลับเป็นโชค เพราะสมัยที่ร่างกายและปากเคลื่อนไหวได้ปรู๊ดปร๊าด บ่อยครั้งที่สติตามไม่ทันจึงพูดผิด-ทำผิดบ่อย ๆ บางเรื่องทุกวันนี้เมื่อนึกถึงก็ยังเสียใจ ในวันนี้เป็นคนไข้ไม่มีอะไรให้ทำมาก เมื่อใช้สติมองย้อนหลังก็เห็นอะไรชัดขึ้น และเมื่อมองไปข้างหน้าก็กะว่าจะนำอดีตมาสอนปัจจุบัน ส่วนอนาคตนั้นไม่แน่ ถ้ากรรมใจดีอาจจะให้มีชีวิตอยู่นานหน่อย แต่ถ้ากรรมเป็นครูตรวจข้อสอบแบบเข้ม อาจจะให้ตายเร็วหรือทุเลาช้า เรื่องนี้ก็ว่าใครไม่ได้ มันกรรมของเราเอง
การไม่สบายครั้งนี้ยังมีอีก 1 โชคที่ขอเล่า คือหมอสั่งว่าอยู่บ้านให้ออกกำลังกายทุกวัน คือทำท่าตามกายภาพบำบัดที่หมอแนะนำและเดินออกกำลังกาย โชคดีที่บ้านพี่สาวที่ผมพักฟื้นมันมันเรียวยาวคล้ายริบบิ้น มีทางยาวให้เดินออกกำลังกายทั้งในบ้านและลานต้นไม้หลังบ้าน ตอนแรก ๆ ผมก็เดินเฉย ๆ วันละประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ต่อมาจนถึงวันนี้ผมเสริมแรงให้เป็นการเดินจงกรมด้วย เมื่อเท้าซ้ายทาบพื้นก็นึกคำในใจว่า "พุท", เมื่อเท้าขวาทาบพื้นก็นึกคำในใจว่า "โธ" เดินไปกลับอย่างนี้ตลอดเวลา 60 นาที ใช้มือถือตั้งเวลาหมดโดยไม่ดูนาฬิกา ฝึกเดินอย่างนี้ได้หลายวันแล้ว ร่างกายดีขึ้น วางเท้าตอนเดินได้มั่นคงขึ้น พูดง่าย ๆ ว่าแข็งแรงขึ้น
แต่ถ้าถามว่าด้านจิตใจล่ะมีอะไรต่างมั้ย? ผมยังตอบได้ไม่ชัดเจน แต่สามารถตอบได้ลาง ๆ ว่า ผมน่าจะมีสติมากขึ้น ตอนก้าวเท้าก็มีสติมากขึ้น ตอนใช้มือหยิบสิ่งของหรือทำงานเล็ก ๆ น้อยก็มีสติมากขึ้น สำหรับเรื่องพูดก็ยั้งใจมากขึ้นก่อนพูด และขณะกำลังพูดก็พยายามมีสติพูดให้ช้าลง-น้อยลง-หรือเงียบถ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ นี่เป็นของดีที่ได้รับแต่ยังได้ไม่มาก เพราะยังฝึกน้อย
ถ้าผมไม่ลืม ผมจะพยายามปรับคำสอนของหลวงพ่อชามาใช้ในการฝึกเดินจงกรม คือขณะที่เดินให้นึกจินตนาการว่า เรากำลังเดินจงกรมอยู่คนเดียวในป่าที่โปร่ง โล่ง และเงียบสงบ โลกทั้งโลกหยุดนิ่ง สิ่งที่เคลื่อนไหวมีเพียงเท้าซ้าย-เท้าขวาของเราที่สัมผัสพื้นทีละก้าว เมื่อก้าวเท้าซ้ายสติทั้งหมดก็อยู่ที่เท้าซายเท้านี้ เมื่อก้าวเท้าขวาสติทั้งหมดก็อยู่ที่เท้าขวาเท้านี้ ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่ก้าว ๆ เดียว คือก้าวที่กำลังก้าว โลกหยุดนิ่ง, ชีวิตหยุดนิ่ง และเวลาก็หยุดนิ่ง ไม่มีอดีต-เมื่อวานนี้-หรือชาติที่แล้ว และก็ไม่มีอนาคต-พรุ่งนี้-หรือชาติหน้า แต่ถ้าสติลอยไหลไปที่อื่นไม่อยู่ที่เท้า ก็พยายามดึงมันกลับมา ไม่ต่อว่าตัวเองหรือเสียใจที่ไร้สติ แต่ยิ้มในใจและเดินต่อ
ผมตั้งใจว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะผนวกการเดินจงกรมเป็นกิจวัตรประจำวันของชีวิตที่ขาดไม่ได้ เป็นกิจกรรมออกกำลังกายและออกกำลังใจไปพร้อมกัน
【3】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก กับการเดินจงกรม
เวลานี้ผมเป็นข้าราชการบำนาญรัฐเลี้ยงและไม่ต้องทำงานหาเงินแล้ว และก็ไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษเพื่อชิงทุนไปเมืองนอกอีกแล้ว แต่ผมขอเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การฟังภาษาอังกฤษ หรือ Listening ซึ่งแม้ไม่ใช่แต่มันก็คล้าย ๆ กับการเตรียมตัวไปสอบ Listening เพื่อชิงทุนไปเมืองนอกตอนที่ยังทำงาน
ก็คือว่า งานประจำชิ้นที่ 2 ที่ผมทำมากว่า 10 ปีแล้ว คือเขียนบทความและหาเรื่องสอนภาษาอังกฤษลงเว็บยังไม่เลิก(และก็ไม่คิดจะเลิกถ้าร่างกายอำนวย) และแทบทุกวันการอ่านและฟังภาษาอังกฤษจึงเป็น " a must " ของผม เพราะถ้าไม่อ่าน-ไม่ฟัง ก็ไม่มีเรื่องดี ๆ มาเสนอท่านผู้อ่าน ผมสังเกตว่า หลังจากฝึกเดินจงกรมวันละ 1 ชั่วโมงมาได้หลายวัน ผมมีสมาธิมากขึ้นในการอ่านและฟังภาษาอังกฤษ คือขณะที่อ่านจิตใจของผมสามารถจดจ่อได้มากขึ้นกับ 1 ประโยคที่กำลังอ่าน ซึ่งช่วยให้อ่านได้รู้เรื่องมากขึ้น-เร็วขึ้น ภาวะนี้เป็นได้โดยไม่ต้องออกแรงบังคับตัวเอง
แต่ที่น่าพอใจมาก ๆ ก็คือการฟังหรือ Listening ผมมีสมาธิมากขึ้นกับประโยคที่กำลังฟัง ซึ่งก็แน่นอน ช่วยให้ผมฟังได้รู้เรื่องมากขึ้น และที่น่าพอใจมากไปกว่านี้ก็คือ ช่วยให้จับได้มากขึ้นว่าตรงไหนที่ฟังไม่รู้เรื่อง ก่อนหน้านี้ตอนฟังไม่รู้เรื่องก็มักไม่รู้เรื่องทั้งหมด ซึ่งไม่จริง เพราะทั้งท่อนหลายประโยคที่ไม่รู้เรื่องนั้น มันมีบางประโยคที่ฟังรู้เรื่อง แต่เมื่อสมาธิคลอนแคลน จึงพาลให้ฟังไม่รู้เรื่องแทบจะทุกประโยค
สิ่งที่ผมเล่านี้ไม่มีอะไรใหม่ เพราะมันคือ 1 ใน 4 ข้อของอิทธิบาทสี่ที่พระพุทธเจ้าสอน คือ (1)ฉันทะ - รักในงานที่ "กำลัง" ทำ (2) วิริยะ - ขยันและอดทนในงานที่ "กำลัง" ทำ (3) จิตตะ - มีสมาธิในงานที่ "กำลัง" ทำ และ (4) วิมังสา - ใช้ปัญญามองให้รอบเพื่อปรับปรุงแก้ไขงานที่ "กำลัง" ทำ
ทั้งสี่ข้อนี้ผู้หวังความสำเร็จต้องมีครบ แต่ที่ผมนำเรื่องนี้มาพูดก็เพราะดูเหมือนว่าเรื่องสมาธิในการฝึกให้เก่งอังกฤษมีคนสนใจน้อยมาก แทบทุกคนเมื่อถูกถามจะตอบว่าชอบอังกฤษ(มีฉันทะ), แต่ชอบแล้วก็ต้องขยันด้วย(มีวิริยะ), เมื่อขยันก็ต้องขยันอย่างคนฉลาด(มีวิมังสา), แต่เท่าที่ผมสังเกต โรคสมาธิจางในการเรียนอังกฤษคนไทยเป็นกันมากทั้งผู้ใหญ่และเด็ก(ไม่มีจิตตะ) อิทธิบาทที่ใช้งานได้นั้นเหมือนโต๊ะที่มีครบ 4 ขา เมื่อขาที่สามคือสมาธิหักหรือโยกก็ต้องซ่อมให้แข็งแรง .... แข็งแรงให้เท่า ๆ กับอีก 3 ขา
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
คำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้น ป.1 - ป. 6 และอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้น ป.1 - ป. 6
แสดง คำศัพท์ - คำอ่าน - ความหมาย และคลิกฟังเสียงอ่าน+ฝึกออกเสียงตาม
ชั้น ป.1 จำนวน 155 คำ
==> https://tinyurl.com/y53ekegp
ชั้น ป.2 จำนวน 159 คำ
==> https://tinyurl.com/y2pxah56
ชั้น ป.3 จำนวน 154 คำ
==> https://tinyurl.com/y284nsck
ชั้น ป.4 จำนวน 258 คำ
==> https://tinyurl.com/y6p93zr9
ชั้น ป.5 จำนวน 254 คำ
==> https://tinyurl.com/y55rot7w
ชั้น ป.6 จำนวน 253 คำ
==> https://tinyurl.com/yxvxd9pj
ศึกษาเพิ่มเติม
ชุดคำศัพท์
==> https://www.engdict.com/vocabulary
ศัพท์ขึ้นต้นด้วย...
==> https://www.engdict.com/words-beginning
ศัพท์ลงท้ายด้วย...
==> https://www.engdict.com/words-ending
ค้นศัพท์
==> https://www.engdict.com/dict/search/
Homepage
==> https://www.engdict.com/
แถม
จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเมื่อคุณนั่งทั้งวัน
What Happens To Your Body When You Sit All Day
==> https://www.thelist.com/27422/happens-body-sit-day/
จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเมื่อคุณนั่งทั้งวัน
==> http://issue247.com/health/what-happens-to-body-when-you-sit-all-day/
การออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใช้ภาษาไทย
การออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใช้ภาษาไทย
ผมดูแล้ว บทความจาก วิกิตำรา เรื่อง " การออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใช้ภาษาไทย " น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา จึงนำมาฝากครับ
ศึกษาเพิ่มเติม
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
การ present งานเป็นภาษาอังกฤษ มีอะไรให้ศึกษาเยอะ
การนำเสนอ หรือ present งาน เป็นสิ่งที่ทำกันโดยทั่วไป กิจกรรมนี้ไม่ได้ทำกันในห้องประชุมในตึกเท่านั้น แต่ทำได้ทุกแห่งที่ผู้พูดหรือวิทยากร 1 คนหรือหลายคนต้องพูดอะไรให้คนจำนวนมากฟัง อาจจะเป็นกลางลาน, ศาลา, ใต้ต้นไม้, หรือที่ไหนก็ได้ที่ผู้ฟังนั่งได้และผู้พูดยืนพูดได้ ส่วนหัวข้อก็เป็นได้ทุกเรื่อง ทั้งการเผยแพร่แนวคิด ความรู้ ข้อมูล โฆษณาสินค้า นโยบาย ฯลฯ
คลิปส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้จะมีเนื้อหาอยู่ 2 เรื่อง คือ (1) หลักการในการนำเสนอ (2)วลี หรือประโยคที่วิทยากรแนะนำให้นำไปใช้ในการนำเสนอ ซึ่งมีอยู่มากมาย เพียงพิมพ์คำค้นทำนองนี้ลงไปที่ YouTube
- คลิปภาษาไทย : presentation ภาษาอังกฤษ
- คลิปภาษาอังกฤษ : presentation in English
เท่าที่ผมสังเกต หลายคลิปจะแนะคล้าย ๆ กันว่า การ present งานจะมี 3 เรื่องหลัก คือ [1] การแนะนำตัว/หน่วยงาน และเรื่องที่จะพูด [2] หัวข้อ/หัวข้อย่อยที่จะพูด [3] สรุปและถาม-ตอบ
สำหรับท่านที่ต้อง present บ่อย ๆ ผมขอแนะว่า การดูคลิปเรื่องนี้เยอะ ๆ มีประโยชน์มาก ไม่ว่าท่านจะ present เป็นภาษาไทยให้คนไทยฟัง หรือ present เป็นภาษาอังกฤษให้คนต่างชาติฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้อง present เป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าแต่ละคลิปก็มีจุดเด่นต่างกันไป เช่น ประโยคที่จะใช้พูด, หรือเทคนิคแปลก ๆ หรือ story, quotation ที่นำมาเสริมในการพูด
วันนี้ ผมขอแนะนำสัก 2 คลิป
1 Presentations in English - How to Give a Presentation - Business English
2 How to Give a Presentation in English - Basic English Phrases
คลิปที่ 2 นี้โยงกับเว็บ englishclass101.com ซึ่งมีของฟรีข้างล่างนี้ น่าสนใจทีเดียวครับ
- https://www.englishclass101.com/index.php?cat=Newest
- https://www.englishclass101.com/lesson-library/intermediate
- https://www.englishclass101.com/english-vocabulary-lists/
- https://www.englishclass101.com/english-word-lists/?coreX=100
- https://www.englishclass101.com/key-english-phrases/
การค้นอีกแบบหนึ่งก็คือ พิมพ์คำค้นแบบเจาะจงลงไปเลยว่า เราต้องการดูคลิปเรื่องอะไร, key word ที่ใช้ค้นอาจจะออกมาในทำนองนี้
- presentation in job interview
- presentation about myself
- presentation about your work experience
- presentation to promote a product
- presentation to sell an idea
- presentation about your company
- presentation of clothes
และทุกวันนี้ การ present ยังทำผ่านสื่อ social media เพราะฉะนั้น รูปแบบ เนื้อหา คำพูด ที่ present จึงต้องปรับให้เข้ากับลูกค้าและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนบ่อยมาก
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
ฝึกอ่าน simple sentence เป็นประจำช่วยให้พูดอังกฤษเก่งขึ้น (ขอยืนยัน)
ภาษาอังกฤษ มีประโยคพื้นฐานอยู่ 4 ชนิด
[1] Simple Sentence คือ ประโยคความเดียว
- เช่น Somsak reads Thai Rath. (สมศักดิ์อ่านไทยรัฐ)
[2] Compound Sentence คือ ประโยคความรวม
- เช่น Somsak reads Thai Rath, but John reads Bangkok Post. (สมศักดิ์อ่านไทยรัฐ แต่จอห์นอ่านบางกอกโพสต์)
[3] Complex Sentence คือ ประโยคความซ้อน
- เช่น Somsak who is John's friend reads Thai Rath. (สมศักดิ์ผู้เป็นเพื่อนของจอห์นอ่านไทยรัฐ)
[4] Compound-Complex Sentence คือ ประโยคความผสม
- เช่น John who is Somsak's friend, and Mark who is my friend, read Bangkok Post because they cannot read Thai language. (จอห์นผู้เป็นเพื่อนของสมศักดิ์ และมาร์กผู้เป็นเพื่อนของฉัน อ่านบางกอกโพสต์ เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถอ่านภาษาไทย)
จากตัวอย่างข้างบนนี้ เห็นได้ชัดว่า ข้อ [1] Simple Sentence หรือ ประโยคความเดียว อ่านง่ายที่สุด ส่วนประโยคชนิดอื่นตามข้อ [2], [3], และ [4] จะซับซ้อนขึ้นตามลำดับ ยิ่งถ้ามีส่วนขยายเยอะ ๆ เต็มไปหมด (เช่น บทความข่าวในเว็บหนังสือพิมพ์) บางทีอ่านแทบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าอะไรขยายอะไร
สำหรับตำราที่โรงเรียนจัดให้คนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษฝึกอ่าน มักเน้น simple sentence และเมื่อเรียนชั้นสูงขึ้นก็จะเพิ่มประโยคชนิดที่ [2], [3], และ [4] มากขึ้นตามลำดับ
คนที่อ่าน Simple Sentence หรือ ประโยคความเดียว ได้คล่องแคล่วชำนาญ ก็จะอ่านประโยคความรวม, ประโยคความซ้อน, และ ประโยคความผสม เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะมันก็ต่อยอดมาจากประโยคความเดียวนั่นแหละ
นั่นคือเรื่องของการอ่าน
และเรื่องของการพูด มันก็ทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคนไทย ตอนแรกก็พูดง่าย ๆ เป็นประโยคความเดียวก่อน เมื่อฝึกพูดไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถพูดได้ยาวขึ้น ซับซ้อนขึ้น เช่น มี ...และ..., ... หรือ..., ....แต่..., ...เพราะว่า...., ...ที่...., ...ซึ่ง..., ...อัน.... เพิ่มเข้าไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องผ่านการฝึกอ่านทุกวัน เหมือนที่เขาพูดว่า Practice makes perfect. เพราะว่าทักษะนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือแค่เข้าใจทฤษฎี แต่ต้องผ่านการฝึก... ฝึก... และฝึก.... ฝึกอ่านภาษาอังกฤษทุกวัน !!!
แต่จะอ่านอะไรล่ะ ?
ในเว็บ e4thai.com นี้ ผมได้แนะนำลิงก์อ่านภาษาอังกฤษง่าย ๆ ซึ่งเป็น ข่าว, story และ บทความ
ที่นี่ ==> https://tinyurl.com/yybhp74x
แต่ดูแล้วมันก็อาจจะยากเกินไปหน่อยสำหรับคนที่พื้นไม่แข็งแรง ผมจึงขอเสนอเนื้อหาที่มันมีแต่ Simple Sentence หรือประโยคความเดียว ล้วน ๆ หรือเยอะ ๆ ๆ ๆ ไม่ต้องมีประโยคประเภทอื่นที่ยากปะปน(มากนัก) โดยผมเชื่อว่า ประโยคพวกนี้ถ้าท่านคุ้นเคยกับมันจนสนิทสนม มันจะช่วยให้ท่านพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากขึ้นแน่ ๆ
ไปที่นี่ครับ
【1】ฝึกอ่านประโยคความเดียว ซึ่งมีอยู่ 5 แบบย่อย (อ่านคำอธิบายเพิ่มเติม)
==> http://www.manythings.org/rs/
【2】Story เกือบ 2,000 เรื่อง
==> https://tinyurl.com/yxwucogf
【3】ดาวน์โหลดหนังสืออ่านนอกเวลา 240 เล่ม
เริ่มที่ระดับ Easystarts หรือ Level 1 หรือ 2
==> https://tinyurl.com/hnn8r8y
หน้าที่ของผมในการแนะนำคงจะหมดแค่นี้ ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของท่านแหละครับที่ต้องฝึก... ฝึก... และฝึก.... ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
แถม คลิป บทสนทนาภาษาอังกฤษ ที่ (ส่วนใหญ่) เป็น simple sentence :
【1】==> https://www.youtube.com/watch?v=zVH_F8cqxLU
【2】==> ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับ Very Short Conversations | Easy English Conversation Practice
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
More Articles...
- เรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ lingolanguage.blogspot.com
- ฝึกภาษาอังกฤษจากหนัง (เรื่อง Harry Potter, Twilight)
- แม่ค้ามะม่วงสุดเจ๋ง ครู กศน.สอนภาษาอังกฤษแค่ 6 วัน สปีคกับลูกค้าฝรั่งสนั่นแผง
- Tip ในการพูดภาษาอังกฤษ แต่นึกศัพท์ไม่ออก
- สื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เยอะมาก สำหรับคุณครูและผู้เรียน
- ฝรั่งเมกันกับฝรั่งอังกฤษเทียบสำเนียงกัน
- วิธีอ่านภาษาอังกฤษให้ง่ายขึ้น โดยแบ่งประโยคเป็นกลุ่ม ๆ
- พอดี - อาจารย์ ปสันโนภิกขุ
- ถ่ายทอดสด งานสมโภชพระบรมธาตุ บุญญาวาสเจดีย์ ๑๙ ก.พ.๒๕๖๒
- " คำตอบหลวงปู่ชา " - พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
- พลังและผลกระทบของการฟังในยุคดิจิทัล
- แนะนำคลิปฝึกฟังข่าวภาษาอังกฤษ(ข่าวในประเทศ) Thai PBS English
- แนะนำเว็บ ted-ielts.com สำหรับคนเตรียมตัวสอบ IELTS
- วิธีปรับปรุงทักษะการพูดภาษาอังกฤษ
- 99 ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน! (+ถ้าสงสัยคำแปล ให้เช็กก่อน)
- China’s Underwater Hunt
- เรื่อง กัญชา น่าสนใจ
- อานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวเอง - สมเด็จโต พรหมรังสี
- แนะนำโปรแกรมใหม่ โดย อ.ยุทธนา - คำศัพท์ 2nd 3rd และ 4th Grade vocabulary
- เรียนภาษาอังกฤษกับเว็บฟุตบอล languagecaster.com