Home
วิธี ฝึกอ่าน-ฝึกฟัง ภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ
สวัสดีครับ
ผมแนะนำท่านผู้อ่านบ่อย ๆ ว่า ให้ฝึกอ่าน-ฝึกฟังภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องทุกวัน โดยเริ่มจากเรื่องที่ชอบ หรือเนื้อเรื่องที่เราพอจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ไม่ยาวเกินไป ไม่ยากเกินไป ฝึกให้ได้ทุกวัน และทักษะของเราจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น คืออ่านรู้เรื่องมากขึ้น - ฟังรู้เรื่องมากขึ้น ฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างนี้โดยไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องใจร้อน ไม่ต้องหวังมากเกินไป และก็ไม่ต้องท้อเมื่อไม่ได้ผลเร็วทันใจ
มันเหมือนการเดินไปยังอีกฟากหนึ่งของภูเขาโดยเดินลอดอุโมงค์ที่วิศวกรเขาเจาะไว้แล้วใต้ภูเขา และเราก็ไม่ใช่คนแรกที่เดิน มีคนอื่นเป็นหมื่นเป็นแสนนับไม่ถ้วนที่เคยเดินเส้นทางนี้มาแล้ว และก็ถึงปลายทาง แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากสักหน่อยกว่าจะเดินทะลุถ้ำและเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ขอให้เราเดินอย่างมีความหวัง เพราะมันไม่ใช่ถ้ำหรืออุโมงค์ที่ตัน ถ้าเดินไม่หยุด ทุกก้าวที่เดินก็คือทุกก้าวที่ใกล้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ผมเองเชื่อมั่นในคำแนะนำนี้ เพราะผมเองก็ฝึกภาษาอังกฤษอยู่ทุกวัน มีอะไรอีกเยอะแยะที่ไม่รู้จึงต้องเรียนเพิ่ม ถ้าไม่เรียนก็ไม่รู้
แต่วันนี้ผมขอนำคำแนะนำเดิมนี้มาพูดอีกสักหน่อย ในแง่ของกำลังใจ คือผมเห็นรุ่นน้องหลายคนที่เรียนจบออกมาด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่แข็งแรง และเมื่อได้งานทำในหน่วยงานที่เคี่ยวเข็ญว่าพนักงานต้องเก่งอังกฤษ ก็รู้สึกท้อเพราะรู้สึกว่าฟิตไม่ขึ้น ถ้าหน่วยงานนั้นมีคนเก่งอังกฤษอยู่เยอะหรือเขาจัดคอร์สให้เข้าฝึก อย่างนี้ก็พอจะจูงกันไปได้ แต่ถ้าต้องฝึกคนเดียว-ฟิตคนเดียว-แก้ข้อสงสัยด้วยตัวเองคนเดียว ก็ทำให้ท้อง่าย ๆ ไม่อยากกัดฟันเดินต่อ
คำแนะนำของผมยังเหมือนเดิมครับ คือ ①ฝึกกับเนื้อหาที่รัก ที่ชอบ ②เริ่มฝึกกับเนื้อหาที่ไม่ยากเกินไป พอเข้าใจอยู่บ้าง ③เริ่มฝึกกับเรื่องที่ไม่ยาวเกินไป หรือถ้ามันยาวก็แบ่งเป็นส่วน ๆ ฝึกให้จบวันละส่วนสั้น ๆ ตามที่แบ่งไว้ จะได้เกิดความรู้สึกว่าเราฝึก "เสร็จ" ④ ฝึกตามข้อ 1-2-3 นี้ ทุกวัน อย่าขาด ให้เกิดเป็นนิสัยหรือ momentum ในการฝึก
คราวนี้มาถึงเรื่องที่ผมอยากจะพูดเป็นพิเศษในวันนี้ คือ เท่าที่ผมสังเกตเว็บไทยจำนวนมากที่สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งผลิตเนื้อหาดี ๆ ออกมาทุกวัน และผมก็นำมาแนะนำในเว็บ www.e4thai.com และหน้า Facebook บ่อยมาก เนื้อหาพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายคำศัพท์, วลี, idiom, ประโยค ที่เจอบ่อย-ใช้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนทนาภาษาอังกฤษ โดยสิ่งที่มักจะขาดไม่ได้ก็คือ มีคำแปลภาษาไทยแนบไว้ให้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อเขียนให้อ่าน หรือคลิปให้ดู(ผ่าน YouTube)
ผมอยากจะบอกว่า ข้อเขียนและคลิปพวกนี้แม้จะมีประโยชน์มาก ๆ ถึงมากที่สุด แต่ถ้าเรา "เสพติด" มากเกินไป คือ อ่านและฟังภาษาอังกฤษโดยเอาแต่พึ่งคำแปลพร้อมใช้ โดยไม่หัดพึ่งตัวเอง เราจะเหมือน "เด็กไม่รู้จักโต" ในการเรียนหรือใช้ภาษาอังกฤษ
ท่านอาจจะบอกว่า ใจจริงก็ไม่อยากพึ่งคำแปลสำเร็จรูปพวกนี้หรอก แต่มันอ่านหรือฟังไม่รู้เรื่อง หรือรู้แต่ไม่แน่ใจ จะให้พึ่งใครถ้าไม่พึ่งเขา
ผมฟังแล้วก็เห็นใจ แต่ก็อยากจะยืนยันว่า ถ้าท่านฝึกจริงจังตามข้อ ① ② ③ ④ ข้างบน ด้วยใจที่เป็นสมาธิ หนักแน่น มั่นคง ไม่ปล่อยให้ความ "กลัวภาษาอังกฤษ" เป็นผีมาหลอกมากเกินไป ท่านก็จะค่อย ๆ เก่งขึ้นจริง ๆ เป็นอิสระ เพราะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษชนิดเสพติดคำแปล
ท่านอาจจะย้อนว่า คนที่เปิดดิก อังกฤษ → ไทย ก็พึ่งคำแปลเหมือนกัน แล้วมันต่างยังไงระหว่างผู้รู้แปลให้กับเราเปิดดิกเอง
ต่างกันครับ ต่างกันแน่ ๆ ต่างกันในทางปฏิบัติ ผมขอยกตัวอย่างหน้าแรกของหนังสือเรื่องโรบินสัน ครูโซ ซึ่งมีคำแปลศัพท์เป็นไทยพร้อมใช้ไว้ให้ข้าง ๆ
→ คลิกดู
ท่านจะเห็นว่า คำแปลที่ให้ไว้มันสอดคล้องกับเนื้อเรื่องเด๊ะ ๆ พอท่านสงสัยก็เหลือบไปดูคำแปลพร้อมใช้นั้นได้ทันที แต่ว่าการจะพัฒนา reading skill นั้น เมื่อผู้เรียนเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้ การปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ อย่าเพิ่งเปิดดิก ให้ลองเดาก่อนโดยอาศัยข้อความข้าง ๆ หรือ context ถ้าเห็นว่าพอจะเดาได้ก็ผ่านไปเลย อย่าเอาแต่เปิดดิกจนทำให้การอ่านสะดุดไปตลอดทาง ต่อเมื่อติดคำศัพท์ที่สำคัญจริง ๆ ต้องรู้ทันทีและเดาไม่ออก จึงค่อยเปิดดิก
แต่เนื่องจากศัพท์คำหนึ่ง ๆ ที่ดิกโชว์อาจจะมีหลายความหมาย คนอ่านจึงต้องใช้สมองขบคิดว่า ความหมายใดนะที่มันเข้ากับเนื้อเรื่อง และยังอาจจะต้องตีความอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้มันไปกันได้สนิทกับเนื้อเรื่องที่อ่าน
ท่านคงเห็นความต่างแล้วนะครับ ระหว่างดูคำแปลสำเร็จรูปกับเปิดดิกหาคำแปลด้วยตัวเอง วิธีไหนช่วยให้สมองพัฒนามากกว่ากัน และช่วยเพิ่ม reading skill มากกว่ากัน
เนื้อหาที่มีคำแปลพร้อมใช้แนบมาให้นี้ มันยากที่ผู้เรียนจะห้ามสายตาไม่ดูมัน และทันทีที่ดู สมองก็ผ่อนคลายไม่ต้องออกกำลัง เรียนกันอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ ก็คงไปได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
นั่นคือโทษของการฝึกอ่าน แบบเสพติดคำแปลพร้อมใช้
คราวนี้มาพูดถึงการฟังบ้าง
เมื่อท่านเข้าไปที่ YouTube เพื่อหาคลิปมาฝึกฟังภาษาอังกฤษ หรือ listening skill
① วิธีฝึก listening skill ที่ได้ผลน้อยที่สุด ก็คือ ดูไป-ฟังไป พร้อมกับอ่าน subtitles ภาษาไทย
② วิธีฝึก listening skill ที่ได้ผลมากขึ้นมาหน่อย ก็คือ ดูไป-ฟังไป พร้อมกับอ่าน subtitles ภาษาอังกฤษ
③ วิธีฝึก listening skill ที่ได้ผลมากที่สุด ก็คือ ดูไป-ฟังไป อย่างตั้งใจ(ตั้งหู)ฟัง โดยไม่ต้องอ่าน subtitles อะไรเลย
เรื่องนี้ต้องชี้แจงเพิ่มอีกนิดครับ คือถ้าเป็นคนฝึกฟังที่มีศัพท์ในคลังสมองของเขาเยอะอยู่แล้ว เขาจะมีศัพท์สำนวนขนาดใหญ่เป็นต้นทุน แต่การที่เขาฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็เพราะ "สำเนียง" เพราะฉะนั้นเมื่อเขาฟังซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง "ศัพท์/สำนวน" และ "สำเนียง" ของเขาก็จะจูนเข้าหากันเอง ทำให้เขาฟังรู้เรื่องได้ในที่สุด
[ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าใครคิดว่าจะขอท่องจำศัพท์ให้ได้เป็นหลายพันหลายหมื่นคำ ก่อนจะลงมือฝึกอ่าน-ฝึกฟังภาษาอังกฤษจริง ๆ ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับทหารสะสมลูกกระสุนไว้เต็มคลังแสง แต่ไม่ยอม-ไม่กล้าออกซ้อมรบเข้าสนามจริงเพื่อยิงปืน อย่างนี้ คำศัพท์หรือกระสุนที่สะสมไว้ มันจะมีประโยชน์มากแค่ไหน ท่านคงพอมองออก ]
แต่คนที่รู้ศัพท์น้อยจะใช้วิธีที่ ③นี้ขนานเดียวก็อาจจะไม่เหมาะนัก ผมจึงได้แนะว่า ถ้าเราพื้นยังไม่ค่อยแข็ง ก็ต้องยอมถ่อมใจ ใช้วิธีฝึกไต่ง่าย ๆ ไปก่อน ตามที่ผมว่าไว้ คือ ①ฟังเรื่องที่รัก ②ฟังเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ③ฟังเรื่องที่ไม่ยาวเกินไป ④ฟังทุกวัน และอีก 1 วิธีที่ใช้ฝึกแทรกเข้าไปได้ก็คือ ถ้าคลิปนั้นมี transcript ให้อ่าน ก็ศึกษามันซะก่อนให้เข้าใจมากที่สุด หรือถ้าคลิปนั้นมี English subtitles ให้อ่านบนจอ ก็ให้เปิดอ่านให้เข้าใจตลอดโดยปิดเสียง (play ↔ pause) พอถึงเวลาดูคลิป/ฟังคลิป ก็จะได้ฝึก listening skill อย่างแท้จริง
ผมทราบดีว่า ทุกท่านที่ฝึกอ่านหรือฝึกฟังภาษาอังกฤษ ก็ต้องการ "อ่านรู้เรื่อง-ฟังรู้เรื่อง" แต่การไม่พึ่งคำแปลพร้อมใช้ที่เขาให้มา ก็อาจจะทำให้เรา "อ่านไม่รู้เรื่อง-ฟังไม่รู้เรื่อง" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็อยากให้ท่านฝึกให้ตัวเองรู้เรื่องจริง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งผู้ช่วยไปชั่วชีวิต ตามวิธีที่ได้แนะนำ
และวิธีง่าย ๆ ที่เราจะมีกำลังใจในการฝึก ก็ต้องทำให้ตัวเองรู้สึกว่า วันนี้ เราได้ฝึกอย่าง "ประสบความสำเร็จ" มีทั้ง "ปริมาณ" และ "คุณภาพ"
♠ ฝึกอย่างมี "ปริมาณ" ก็คือ กำหนดปริมาณ หรือชิ้นงาน ที่ไม่มากเกินไป ให้รู้สึกว่าตัวเอง "อ่านจบ" หรือ "ฟังจบ" อย่างน้อย 1 ชิ้น
♠ ฝึกอย่างมี "คุณภาพ" ก็คือ ฝึกกับเนื้อหาที่ไม่ยากเกินไป ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง "อ่านเข้าใจ" หรือ "ฟังเข้าใจ" อย่างน้อย 1 ชิ้น
การตั้งกติกาหรือวินัยให้ตัวเองปฏิบัติ ที่ "ไม่มาก" และ "ไม่ยาก" เกินไปเช่นนี้ ย่อมทำได้ถ้าท่านเป็น "คนจริง" และก็สามารถทำอย่างมี "กำลังใจ" อีกด้วย
ในเว็บ e4thai.com มีเนื้อหาให้ท่านฝึกมากมาย เช่น
→ หนังสืออ่านนอกเวลา
→ อ่าน story พร้อมเพิ่ม English reading skill
→ ฟังภาษาอังกฤษ ง่าย ๆ
หรืออื่น ๆ โดยคลิกที่ปุ่ม Reading หรือ Listening ในเมนูซ้ายมือของหน้าเว็บ หรือพิมพ์คำค้นในช่อง Search ก็ได้
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
วิธีฝึกศัพท์พื้นฐานเพื่อเป็นต้นทุนในการประกอบกิจกรรมภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ถ้าท่านกูเกิ้ลด้วยคำว่า ศัพท์พื้นฐานภาษาอังกฤษ ก็จะพบคำศัพท์พร้อมคำแปลไทยให้ศึกษาหลายชุด → คลิกดู และท่านก็สามารถนำคำศัพท์+คำแปล พวกนี้ไปศึกษา ท่องจำ ได้ตามอัธยาศัย
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมขอเน้นหลาย ๆ ครั้ง ก็คือ การรู้คำศัพท์+คำแปลนี้ เป็นประโยชน์ต่อการ "เข้าใจ" เมื่อเราอ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ แต่มันยังไม่พอถ้าเราต้องการ "ใช้เป็น" คือใช้ภาษาอังกฤษในการพูดหรือเขียน คือสามารถนำศัพท์ไปผูกประโยคเพื่อพูดหรือเขียนสื่อสารกับคนอื่น
และการที่จะผูกประโยคได้ นอกจากรู้คำแปล เรายังต้องรู้อะไรอีก? เราต้องรู้สิ่งเหล่านี้ครับ Ⓐสามารถพูดออกเสียงคำศัพท์ได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ Ⓑสามารถนำคำศัพท์ไปพูด ผูกเป็นวลีหรือประโยค
การจะพูดออกเสียงและผูกประโยค-ผูกวลีได้ เราก็ต้องฝึกอ่านเยอะๆ-ฝึกฟังเยอะ ๆ และเราก็จะค่อย ๆ ทำได้เองเก่งขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถ้าท่านต้องการฝึกตัวเองด้านคำศัพท์ ให้ "เข้าใจ & ใช้เป็น" อย่างเป็นกิจจะลักษณะสักหน่อย ผมก็ขอแนะนำอย่างหนักแน่นว่า ท่านก็เข้าไปที่เว็บดิก 3 เว็บนี้ คือ Oxford, Webster และ Longman เพราะว่า ทีมนักวิชาการของเขาได้วิจัยและจัด list คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ เพื่อเราจะได้ "เข้าใจ & ใช้เป็น" โดยศัพท์แต่ละคำที่เขาโชว์ไว้ในเราศึกษาที่เว็บของเขานั้น มีสมบูรณ์ทั้ง definition(ความหมาย), pronunciation(เสียงอ่าน), example sentence(ประโยค/วลี ตัวอย่าง), grammar usage(การใช้ให้ถูกต้องตามหลักแกรมมาร์), collocation(กลุ่มคำที่มักใช้ร่วมกัน), idiom(สำนวน) ฯลฯ
พูดง่าย ๆ ก็คือ ดูที่เดียวก็ได้อ่าน-ได้ฟัง-ได้ฝึก ทุกอย่าง และสามารถนำคำศัพท์ไปใช้ในการ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ได้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือ หลาย ๆ ประโยคตัวอย่างที่เขาให้ไว้นั้น จะค่อย ๆ ช่วยให้เราคุ้นเคยกับศัพท์เหล่านั้น ถ้าเราฝึกอย่างจริงจัง คือ อ่าน+ตีความ+ทำความเข้าใจ อย่างจริงจัง, ฝึกเปล่งเสียงพูดประโยคนั้น ๆ อย่างจริงจัง จนคุ้นหู-คุ้นปาก ถ้าฝึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ใน list คำศัพท์ 3000 คำที่เขาจัดไว้ให้ เราก็จะค่อย ๆ เก่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมจึงขอเชิญชวนให้ท่านได้ฝึกตัวเองดังที่ว่ามานี้ กับเว็บดิก 3 เว็บนี้
เว็บที่ 1: Oxford Dictionary มีศัพท์ 3000 คำ จาก A - Z
→ คลิก
เว็บที่ 2: Webster Dictionary มีศัพท์ 3000 คำ จาก A - Z
→ คลิก
เว็บที่ 3: → Longman Dictionary มีศัพท์ 3000 คำ จาก A - Z
→ คลิก
แต่ที่เว็บดิก Longman เขาไม่มีคำศัพท์ให้คลิกศึกษา อย่าง Oxford หรือ Webster แต่เราก็สามารถใช้ add-on ของ Longman Dictionary ให้ช่วยโชว์ข้อมูลคำศัพท์ที่จะศึกษาจากเว็บดิก Longman และต้องขอบอกว่า เว็บดิก Longman มีบริการอย่างหนึ่งที่เว็บดิกทั้งโลกไม่มี คือ สามารถคลิกฟังเสียงอ่านประโยคตัวอย่าง เพื่อฝึกฟัง- listening skill และฝึกพูดตาม - speaking skill ได้
→ คลิกดูวิธีติดตั้งและใช้งาน add-on
ผมขอแนะนำสั้น ๆ แค่นี้แหละครับ แต่ขอรับรองว่า การฝึกอย่างนี้ได้ผลแน่ ๆ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใคร promote วิธีพวกนี้ก็ตาม
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
ยิ่งพึ่งความเข้าใจจากคำแปลที่คนอื่น"จัดให้" มากเพียงใด ยิ่งไปไม่ถึงไหน
สวัสดีครับ
ทุกวันนี้มีเว็บไซต์และคลิปสอนภาษาอังกฤษที่อธิบายเป็นภาษาไทยมากมาย มากจริง ๆ อยากรู้อยากเรียนอะไรก็กูเกิ้ลคำนั้น แค่นี้ก็จะได้คำอธิบายและคำตอบ ทันทีและมากมาย แต่ทำไมทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยจึงยังต่ำเตี้ย แม้แต่คนที่ขยันเรียนทุกวันก็ยังไปไม่ถึงไหน
ต่อไปนี้เป็นความเห็นของผม ท่านอาจเห็นด้วยหรือเห็นแย้งก็ได้ ผมจะพูดเฉพาะการฝึกอ่านและฝึกฟัง และพูดถึงคนที่เรียนจบมีงานทำแล้ว เรื่องที่ไม่ได้พูดถึงก็เป็นอันว่าทำนองเดียวกันนี้
คือคนเป็นจำนวนมากที่จบมาด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่อ่อนยวบ (ไม่ต้องไปสืบสวนหรอกครับว่ามีสาเหตุมากจากอะไร) พอมาทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เอาง่าย ๆ ว่าต้องอ่านและฟังรู้เรื่องให้ได้ก่อน (พูดและเขียน ถ้าได้ด้วยยิ่งดี) พอเริ่มฟิตหรือฝึก ก็อยากจะอ่านและฟังเข้าใจได้ทันที ไม่อยากรอ(เป็นนิสัยของคนยุคนี้ที่รอไม่เป็น)
ถ้าเรากูเกิ้ลด้วยคำว่า วิธีฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้เข้าใจเร็ว ๆ ก็จะได้รับคำตอบดี ๆ มากมาย → คลิกดู แต่คำตอบมันก็เป็นแค่คำตอบ เป็นแค่แผนที่ การเดินทางตามแผนที่ไปให้ถึงที่หมาย เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องทำเอง การไม่ออกแรงทำอย่างอื่น เอาแต่ถามหรือสะสมแผนที่ ก็คงได้แค่อยู่กับที่
คราวนี้มาพูดถึงคนที่เริ่มก้าวขาออกเดินทางบ้าง เท่าที่ผมดูเว็บไทยซึ่งมีเนื้อหาสอนเรื่องการอ่านภาษาอังกฤษให้คล่อง ฟังให้คล่อง ก็มีคำอธิบายมากมาย มีคำศัพท์ วลี สำนวน สแลง เป็นพัน ๆ พร้อมคำแปลไทยให้เสร็จสรรพ ข้อความหรือประโยคตัวอย่างที่ยกมาอธิบายก็แปลให้ด้วย สรุปก็คือ คำอธิบายและคำแปลที่มีให้ในเน็ต มันมากมายและช่วยให้คนเรียนเข้าใจได้ทันที โดยแทบไม่ต้องใช้สมองเลย
และผมขอสรุปว่า วิธีเรียนอย่างนี้แหละครับ ถ้าเอาแต่เรียนอย่างนี้อย่างเดียว หรือเรียนแบบนี้มากเกินไป จะยิ่งเรียนยิ่งไม่ได้ผล เพราะเราฟังคำอธิบายหรืออ่านคำแปลมากเกินไปจนไม่ต้องใช้สมอง ผลก็คือยิ่งเรียนยิ่งแย่ เสียเวลาเปล่า แม้จะเข้าใจสิ่งที่ครูอธิบาย แต่ก็ไม่ช่วยให้ reading skill หรือ listening skill ดีขึ้น
- reading skill จะดีขึ้นก็ต่อเมื่อ เราได้ฝึก read จริง ๆ
- listening skill จะดีขึ้นก็ต่อเมื่อ เราได้ฝึก listen จริง ๆ
ไม่ไช่เอาแต่อ่านหรือฟัง คำอธิบายหรือคำแปลที่เป็นภาษาไทย จนสมองไม่ได้ฝึกเจอของจริง เพราะมัวแต่พอใจที่ได้ "เข้าใจ" ในคำอธิบายหรือคำแปล แต่ไม่ได้ออกแรง read หรือ listen จริง ๆ จัง ๆ
ปัญหาก็คือ ถ้าไม่มีคำแปลหรือคำอธิบายเป็นไทย จะรู้เรื่องได้ยังไง อ่านไป-ฟังไป จะแน่ใจได้ยังไงว่าเราเข้าใจถูกต้อง?
ผมขอเปรียบเทียบอย่างนี้แล้วกันครับ คนที่เรียนจบแล้วแต่ภาษาอังกฤษอ่อนมาก ก็คงย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อีกแล้ว มันเป็นกฎแห่งกรรม ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องรับผลอย่างนั้น แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องรับกรรมอย่างคนทนทุกข์หน้านิ่วคิ้วขมวด เราสามารถรับกรรมแบบยิ้มแย้มแจ่มใสก็ได้ แม้เป็นการเริ่มเดินทางใหม่ เพราะไม่มีใครแก่เกินเรียน
แล้วจะฝึกอ่าน - ฝึกฟังยังไง ให้เข้าใจเร็ว ๆ?
ท่านผิดแล้วครับ ผิดตั้งแต่เริ่มตั้งคำถาม - ยังไม่ได้เริ่มเรียน !!!
พอท่านตั้งเงื่อนไขว่าจะต้องเข้าใจได้เร็ว ๆ แต่พอได้ผลไม่เร็วอย่างที่หวัง ก็เป็นทุกข์ไปตลอดทาง และไม่กี่วันก็เลิกเรียน เพราะท้อ
ผมขอพูดซ้ำอย่างที่พูดมาแล้วบ่อย ๆ ถ้าจะฝึกอ่านให้เข้าใจก็ต้องอ่านจริง ๆ ถ้าจะฝึกฟังให้รู้เรื่องก็ต้องฝึกฟังจริง ๆ ไม่ใช่เอาแต่รอรับคำแปลหรือคำอธิบายที่เป็นภาษาไทย โดยประสาทตาและประสาทหูแทบไม่เคยเจอกับภาษาอังกฤษล้วน ๆ และก็ยังหวังว่าจะเก่ง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
วิธีฝึกชนิดเจอของจริง ก็คือ
[1] เลือกภาษาอังกฤษที่จะฝึกอ่าน - ฝึกฟัง ที่ไม่ยาก-ไม่ง่ายเกินไป ให้พอฟัดพอเหวี่ยงกับตัวเอง ถ้าท่านจบปริญญาตรีแต่ทักษะการอ่าน-การฟัง อยู่แค่ระดับเด็กอนุบาล ก็ต้องยอมถ่อมใจ ลงไปอ่านหรือฟังเนื้อหาระดับนั้น และไต่เต้าขึ้นมาตามลำดับ นี่เป็นการ "แก้กรรม" ครับ
[2] หาเรื่องที่ชอบให้เจอ ถ้าหาไม่เจอก็ต้องพยายามหาให้เจอ จะได้ไม่ต้องทนฝึกกับเรื่องที่ไม่ชอบ
[3] ฝึกอ่าน-ฝึกฟัง ภาษาอังกฤษ ที่ตัวเองชอบ ที่ไม่ยาก-ไม่ง่ายเกินไป, ฝึกทุกวัน แม้ขณะที่ฝึกจะงง-จะไม่เข้าใจ ก็ฝึกเดา - ฝึกสังเกต ไปเรื่อย ๆ ผมขอพูดย้ำถ้อยคำนี้อีกครั้ง "การงงเมื่ออ่านหรือฟังเป็นภาษาอังกฤษ ดีกว่าความเข้าใจที่ได้จากคำแปลเป็นภาษาไทย" และเพราะมัวแต่พึ่งคำแปลเป็นภาษาไทย - เข้าใจเป็นภาษาไทย นี่แหละครับ คนไทยที่ฟิตภาษาอังกฤษจึงไปไม่ถึงไหนซะที
เพื่อกันการเข้าใจผิดผมขอบอกว่า ผมไม่ได้แอนตี้คำอธิบายหรือคำแปลเป็นภาษาไทย แต่อยากจะชี้ว่า ในวันหนึ่ง ๆ เรามีเวลาน้อยมาก และเวลาที่สามารถแบ่งมาฟิตภาษาอังกฤษก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ถ้าให้เวลามากเกินไปกับการฟังหรืออ่านคำอธิบายหรือคำแปลเป็นภาษาไทย ก็จะเหลือเวลานิดเดียวในการฝึกอ่าน-ฝึกฟัง เป็นภาษาอังกฤษจริง ๆ
การฝึกภาษาอังกฤษให้ได้ผล ก็เหมือนนักมวยนั่นแหละครับ ต้องซ้อมจริง - ชกจริง ถ้ามัวแต่ซ้อมหลอก ๆ ฟังโค้ชอธิบายแต่ไม่ยอมเจอของจริง ไม่ยอมเหงื่อออก ไม่ยอมเหนื่อย ไม่ยอมถูลู่ถูกังกับการฝึก มันไม่เห็นผลหรอกครับ และการเห็นผลนั้น ไม่ใช่วัดที่อ่านแล้วเข้าใจ - ฟังแล้วเข้าใจ 100% แต่อยู่ที่ความงงที่ค่อย ๆ ลดน้อยลง ทีละหน่อย ๆ เพราะทนฝึกไม่หยุด
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายดายหรอกครับ และอะไรที่ได้มาง่ายเกินไปมักจะไม่ใช่ของจริง ของจริงจะได้มาเพราะพยายามจริง ๆ เท่านั้น
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
ขอแนะนำเว็บเรียนอังกฤษที่ "ไม่น่าสนใจ" - esl.about.com
ท่านผู้อ่านที่ติดตามเว็บ e4thai.com และลิงก์บทความที่นำมาแปะไว้ที่หน้า→ Facebook นี้ คงจะสังเกตอะไรได้อย่างหนึ่ง คือผมเองไม่ได้ทำหน้าที่สอน แต่ไปหาเว็บ, ลิงก์, ไฟล์, โปรแกรม ฯลฯ ทั้งจากเว็บไทยและเว็บต่างประเทศ มาบริการคนไทยที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
และเพราะทำตรงนี้มานานก็พอเดาออกว่า อะไรที่ท่านผู้อ่านชอบมาก, ชอบน้อย, หรือไม่ชอบเอาซะเลย แต่บ่อยครั้งทีเดียวที่ผมไม่ค่อยได้ตามใจท่านผู้อ่าน เช่นเนื้อหาบางอย่างดูแล้วแทบไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าผมเห็นว่ามันมีประโยชน์ต่อการฝึกภาษาอังกฤษ ผมก็เอามานำเสนอ ด้วยหวังว่า แม้วันนี้ท่านไม่ชอบแต่พรุ่งนี้อาจจะชอบ วันนี้ท่านอ่านหรือฟังแล้วรู้สึกยากไม่อยากยุ่งกับมัน แต่อาจจะมีบางท่านที่กัดฟันเรียน และไม่เร็วก็ช้า ก็ทำให้ของยากกลายเป็นของง่าย
พฤติกรรมเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ในฐานะ Webmaster ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่หวังทำกำไรคงล้มไปนานแล้ว แต่โดยสรุปก็คือ ผมพยายามทำให้ e4thai.com เป็นคล้าย ๆ ร้านโชห่วยที่มีสินค้าใช้สอยประจำวันทุกอย่างวางขาย ท่านเข้าร้านนี้แล้วได้ของถูกใจติดมือออกไปสัก 1 อย่างก็ถือว่าใช้ได้ ไม่รู้ว่าเป้าที่ผมตั้งไว้นี้ทำได้สำเร็จแค่ไหน
อย่างวันนี้ ผมขอแนะนำเว็บนี้ www.about.com ซึ่งเป็นเว็บที่มีเนื้อหาสาระสารพัดเรื่อง และได้เปลี่ยนชื่อแล้วเป็น → www.dotdash.com
เว็บ about.com เป็นเว็บเก่าตั้งมานานหลายปีแล้ว และก็มีเว็บสอนภาษาอังกฤษที่คู่กัน คือ www.esl.about.com ซึ่งตอนนี้ก็เปลี่ยนชื่อเช่นกัน เป็น → www.thoughtco.com/esl-4133095
ผมเดาเอาเองว่า เว็บ www.esl.about.com คงไม่ค่อยได้รับความนิยมจากคนไทยที่ฟิตภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ
[1] คนที่จะใช้เว็บนี้ต้องขยันอ่านสักหน่อย เพราะส่วนใหญ่เป็นบทความที่เนื้อหาดีมีประโยชน์ แต่คนเรียนต้องขยันอ่านเนื้อหายาว ๆ เป็นภาษาอังกฤษ และ
[2] การจัดหน้า, การใช้สี หรือ layout ของบทความมันราบเรียบอย่างยิ่งไม่ดึงดูดใจเลย
โดนเข้าไป 2 ข้อนี้ลูกค้าคนไทยก็คงไม่ค่อยเข้าร้าน
แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากนำสินค้าชิ้นนี้มานำเสนอ เพราะดูแล้วคุณภาพมันดี แม้หน้าตาไม่สวยหรือใช้ยากสักหน่อย
ขอไตเติ้ลแค่นี้แล้วกันครับ และขอแนะนำ 3 หัวข้อของเว็บนี้ข้างล่างนี้ แต่ละหัวข้อมีหลายหัวข้อย่อยให้เลือกศึกษา
【1】English as a Second Language (ESL) for Teachers and Students
→ https://www.thoughtco.com/esl-4133095
เข้าไปแล้ว คลิกที่ลิงก์ → ตามภาพนี้ ในคอลัมน์ซ้ายมือ
【2】English Grammar
→ https://www.thoughtco.com/english-grammar-4133049
เข้าไปแล้ว คลิกที่ลิงก์ → ตามภาพนี้ ในคอลัมน์ซ้ายมือ
【3】Glossary of Usage: Index of Commonly Confused Words
→ https://www.thoughtco.com/commonly-confused-words-s2-1692693
แต่ถ้าหาเรื่องที่ต้องการไม่เจอ ก็พิมพ์คำค้นลงไปที่ช่อง Search ที่มุมบนขวาของหน้า ขอแนะว่าถ้าเว็บมันแสดงผลมากเกินไปหรือไม่ค่อยตรง ลองเติมคำว่า esl ต่อท้ายคำค้นของท่าน อาจจะช่วยได้บ้าง
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
แนะนำเว็บ agendaweb.org
สวัสดีครับ
เว็บฟรีฝึกภาษาอังกฤษมีมากมายนับไม่ถ้วน ที่ e4thai.com ก็คัดเลือกรวบรวมไว้กว่า 100 เว็บ ดี ๆ ทั้งนั้น
→ คลิก
ที่อื่นที่รวบรวมไว้ทำนองนี้ก็มีมากมาย เช่น
- http://www.agendaweb.org/links.html
- https://www.edu.xunta.es/espazo/axendaweb/links.htm
- http://www.esldesk.com/esl-links/
- http://iteslj.org/links/ • http://iteslj.org/links/ESL/
- http://homepage.usask.ca/helpfulesllinks.html
จนเราอาจจะรู้สึกว่ามันเยอะจัดจนเรียนไม่หวาดไม่ไหว เลือกไม่ถูกก็เลยไม่เข้าไปเรียนสักเว็บเดียว (ฮา !!!)
ผมอยากจะบอกว่า ถ้าเห็นว่าเว็บไหนเข้าท่าให้ประโยชน์ได้ ก็เข้าไปเรียนเลยครับ อย่าหมดเวลาไปกับการเลือกจนไม่ได้เรียน
วันนี้ผมขอเสนอเว็บนี้ ซึ่งเห็นว่า มีของคุณภาพดีและหลากหลายมาก มีหลายระดับยากง่ายให้เลือกเรียน ถ้าท่านใดยังไม่มีเว็บเจ้าประจำให้เรียน ลองเข้าไปดูที่เว็บนี้ได้เลยครับ
→ http://www.agendaweb.org/
【1】เมื่อเข้าไปแล้ว ให้ดูที่ลิงก์ในคอลัมน์ซ้ายมือ ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ตามภาพนี้ และคลิกเรื่องที่ท่านสนใจ และผลของมันจะปรากฏที่กลางหน้า
【2】และเลื่อนไปคลิกดูลิงก์ที่คอลัมน์ขวามือ ตามภาพนี้ ท่านจะเห็นว่า มีลิงก์ Dictionary และ Translator ให้ใช้งาน และก็มี daily podcast เป็นเนื้อหาให้ฝึกแต่ละวัน
【3】แต่ถ้าเมื่อดูที่เมนูทั้งซ้าย - ขวา ก็ยังไม่เจอเรื่องที่ต้องการ ก็เลื่อนลงไปส่วนล่างของหน้า และพิมก์คำค้นในช่อง Search on this site ซึ่งจะค้นเฉพาะเนื้อหาในเว็บ agendaweb.org นี้เท่านั้น
【4】เว็บนี้ยังมีบริการพิเศษอีก 1 เรื่อง คือในช่อง Search ซึ่งอยู่ด้านบนสุดด้านขวามือของหน้า เขามีช่อง Safe search for kids ตามภาพข้างล่างนี้ ช่องนี้พิเศษกว่า Google Search ที่ท่านใช้ตามปกติตรงที่ว่า เขาจะคัดมาเฉพาะเนื้อหาที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก และสำหรับเนื้อหาเพื่อการศึกษาภาษาอังกฤษ จะได้ผลการ Search ที่ตรงเป้าหมายและมีปริมาณมากกว่า
ผมขอแนะนำให้ท่านเห็นโครงสร้างของเว็บเพียงเท่านี้แล้วกันครับ และขอเน้นว่าเว็บ agendaweb.org นี้มีหลายเรื่องจริง ๆ ให้ศึกษา แต่การจะแนะนำโดยละเอียดคงไม่เหมาะ เพราะคนเรียนชอบไม่เหมือนกัน และมีพื้นฐานต่างกัน แต่ละคนที่จะฝึกอังกฤษต้องเข้าไปหาด้วยตัวเองครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
ฝึกอังกฤษชนิดกินพอคำกับเว็บ Longman Dictionary
ท่านที่งานเยอะ ชีวิตยุ่ง เวลาว่างหายาก จะฝึกอังกฤษให้เป็นกิจจะลักษณะทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าตั้งใจเจียดเวลามาฝึกวันละนิดเดียวแต่ฝึกให้ได้ทุกวัน แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วครับ และผมขอแนะนำเว็บ Longman Dictionary เพื่อให้ท่านเข้าไปฝึก ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แบบกินข้าวคำเล็ก ๆ วันละคำสองคำ แต่ถ้าวันไหนอร่อยหรือมีเวลาว่างมาก จะกินเยอะ ก็เชิญได้ตามอัธยาศัย
♦ ท่านเข้าไปที่นี่ → http://tinyurl.com/n4erufe ,คลิกลิงก์คำศัพท์ที่ท่านสนใจ และศึกษา...
【1】 อ่าน คำศัพท์, ความหมาย, ประโยคตัวอย่าง, เนื้อหาอื่น ๆ เกี่ยวกับศัพท์คำนี้ที่อยู่ในหน้านั้น และอย่าลืมคลิกฟังการออกเสียงคำศัพท์และฝึกออกเสียงตามด้วย
【2】 คลิกไอคอนรูปลำโพงหน้าประโยคตัวอย่าง (ถ้ามี) เพื่อฝึกฟังและฝึกพูดตาม หรือคลิกฟังก่อน โดยอย่าเพิ่งไปอ่านประโยค ดูซิว่าฟังรู้เรื่องมั้ย
คำศัพท์ที่โชว์ในคำแรกของบรรทัดลิงก์นั้น ท่านอาจจะรู้คำแปลแล้ว แต่มันอาจจะยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่น่าฝึก เช่น
[1]ท่านออกเสียงศัพท์คำนี้ได้อย่างมั่นใจ 100 % หรือยัง, ถ้ายัง ก็คลิกฟังให้ชินหู และฝึกเปล่งเสียงให้ชินปาก ตอนนี้เลย
[2]คำที่มีหลายความหมาย เขาจะเรียงความหมายที่เจอบ่อย-ใช้บ่อยไว้บนสุด และความหมายที่ไม่ค่อยเจอไว้ล่างสุด ท่านก็ศึกษาความหมายแรก ๆ ก่อนแล้วกัน
[3]ประโยคตัวอย่างมีประโยชน์มาก เพราะเขานำประโยคที่ใช้จริง ๆ ในการพูด-การเขียน มาให้เราศึกษา เราควรฝึกแบบ ①อ่านให้ชินตา ②ฟังให้ชินหู ③ฝึกพูดตามให้คล่องจนชินปาก
[4]ขอให้ท่านสังเกตเครื่องหมาย • ที่วางหลังคำศัพท์ เช่น book ••• หรือ อาจจะเป็น •• หรือ • ถ้าเจออย่างนี้ให้รู้ว่า เป็นศัพท์ในกลุ่มที่เจอบ่อย-ใช้บ่อยสุด ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
[5]ในศัพท์คำหนึ่ง ๆ เช่นคำว่า → light คำ ๆ เดียวนี่แหละ มีอะไรให้เราศึกษามากมาย เราสามารถ Train &Test ตัวเองกับศัพท์คำเดียวนี่แหละโดยใช้เวลาเป็นชั่วโมง หรือถ้าไม่ค่อยมีเวลา จะอ่านแค่ 5 - 10 นาทีก็ได้
[6]ฯลฯ
♦ นี่แหละครับ ภาษาอังกฤษแบบพอคำ จะศึกษาวันละกี่คำก็ได้ ตามใจท่าน
More Articles...
- เล่าอังกฤษ ตามอารมณ์
- ♥ อยากเก่งอังกฤษ ต้องก้าวออกมาจาก ❝comfort zone❞ ♥
- ยอมรับ ❝เราอาจจะผิดก็ได้❞
- เข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ Free Online
- ฝึกฟัฒนาภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ กับศัพท์ทีละคำ ที่เว็บดิก Longman
- วิธีฟิตภาษาอังกฤษโดยการอ่าน Story
- การเลือกคณะที่จะเรียน-เลือกงานที่จะทำ และ... ประสบการณ์ส่วนตัวของผม
- ฟิตอังกฤษกับอ.แทร์รี่ แห่ง นสพ. Bangkok Post
- แนะนำเว็บ multimedia-english.com
- "อยากพูดภาษาอังกฤษค่ะ ช่วยแนะนำตั้งแต่เริ่มเลย จะฝึกยังไง?"
- เว็บหน่วยราชการเหมือนขุมทรัพท์เรียนภาษา แต่ต้องขุดเอาเอง
- แชร์ประสบการณ์การฝึกลูกเรียนภาษาอังกฤษ
- รวมสุดยอดเทคนิคเก่งภาษาอังกฤษ
- ฝึกภาษาอังกฤษ = ❝ฝึก Search ❞ + ❝ฝึก Study ❞
- คลิกไล่ดูชื่อบทความในเว็บ e4thai เล่น ๆ
- วิธีง่าย ๆ ในการหา eBook ที่ถูกใจในเว็บ e4thai.com
- ท่านเคยรักษานิ้วล็อกที่ รพ เลิดสิน บ้างไหมครับ?
- e4thai.com ได้รับการถอนฟ้อง "ไฟล์อันตราย" แล้วครับ
- ศึกษาภาษาอังกฤษกับ podcast ที่เว็บ BBC และ British Council
- ฝึกภาษาอังกฤษต้องให้ได้ U ครบ 2 ตัว