Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

อุปสรรค-อุปกรณ์-อิทธิบาท ในการเรียนภาษาอังกฤษ

goal dream

สวัสดีครับ

       ทักษะภาษาอังกฤษสำคัญหรือไม่?  สำคัญเพียงใด?  สำคัญอย่างไร? ผมคิดว่า 3 คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องตอบอีกแล้ว  เพราะทุกคนรู้คำตอบอยู่แล้ว   แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า ทำอย่างไรจึงจะเก่งอังกฤษ? ถามอย่างนี้คงได้คำตอบหลากหลายไม่รู้จบ  และทุกคำตอบก็ถูกทั้งนั้นถ้าคนนำไปใช้และได้ผล

        จุดเล็ก ๆ ที่ผมต้องการพูดในวันนี้ก็คือ เท่าที่ผมเจอมา พอพูดว่าจะฟิตภาษาอังกฤษ คน 9 ใน 10 จะถามว่า เรียนที่ไหน  โรงเรียนอะไร  เรียนกับอาจารย์อะไร  เว็บอะไร หนังสือเล่มไหน  ฯลฯ คำถามทำนองนี้บอกชัดว่า เราคนไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งเป็นอันดับแรกกับอุปกรณ์หรือตัวช่วยในการเรียน   ดูเหมือนเราจะเชื่อว่า อุปกรณ์จะขจัดอุปสรรค เพราะฉะนั้นจึงขอสะสมอุปกรณ์ไว้ก่อน  คงยึดคล้าย ๆ ภาษาษิตจีนที่บอกว่า เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง หรือ มีอุปกรณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

        ผมจึงได้เห็นว่า หลายคนแสดงอาการท้อแท้พอผมบอกว่า ลิงค์ไฟล์หนังสือที่เคยดาวน์โหลดได้ในบล็อกตอนนี้กลายเป็นลิงค์ตายแล้ว   คล้ายกับว่าตอนนี้หมดอุปกรณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว ผมสงสัยว่าคนที่ขยันดาวน์โหลดไฟล์ต่าง ๆ นั้น ได้เข้าไปศึกษา eBook หรือโปรแกรมพวกนั้นบ้างหรือเปล่า หรือเพียงแค่อุ่นใจว่าได้ตุนอุปกรณ์ไว้แล้ว ถึงเวลาก็สามารถหยิบออกมาใช้ได้  แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็เหมือนพวกผู้หญิงที่ไปเจอของกระจุกกระจิกตามห้างและรู้สึกว่าจะต้องซื้อให้ได้  พอกลับถึงบ้านก็ขังลืมของพวกนั้นในตู้หรือลิ้นชัก  แทบไม่เคยเปิดออกมาดู นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าได้ใช้หรือเปล่า

        หลายคนทำกับอุปกรณ์ศึกษาภาษาอังกฤษอย่างนี้เด๊ะเลย คือตื่นเต้นดีใจในการได้มาและสะสม และก็ลืมมันไปเลยไม่เคยเอาออกมาใช้

        แต่ครั้นถึงวันดีคืนดีที่เลือดลมผิดปกติคิดจะฟิตภาษาอังกฤษ   ก็หยิบอุปกรณ์ออกมาใช้ โดยการเปิดเว็บ, ใช้โปรแกรม, คลิก eBook, ฟัง mp3, ดูวีดิโอ, ซ้อมทำ test  ฯลฯ มันอาจจะลื่นไหลใน 5 – 10 นาทีแรก แต่หลังจากนี้อาจจะพบว่า การเรียนเริ่มชะลอ, ชะงัก, สะดุด ด้วยสารพัดสาเหตุ  คนที่มีกระดูกใจในเรื่องนี้ค่อนข้างนิ่มก็สามารถเลิกเรียนได้อย่างรวดเร็วและทันที

        ผมขอสรุปตรง ๆ สั้น ๆ ว่า ในการฟิตภาษาอังกฤษ แม้อุปกรณ์จะช่วยขจัดอุปสรรค แต่ถ้าไม่มีอิทธิบาท อุปกรณ์ก็มีความหมายน้อย หรืออาจจะแทบไม่มีความหมายเลย

        เมื่อพูดถึงอิทธิบาท ผมหวังว่าหลายคนยังคงจำได้ว่ามันประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แต่ไอ้คำศัพท์ยาก ๆ พวกนี้มันคือะไรกันแน่  และมันเกี่ยวอะไรกับภาษาอังกฤษที่ไม่ไช่ภาษาแขก

        เท่าที่เคยสดับตรับฟังข่าวเกี่ยวกับระดับของผลการเรียนของเด็กไทย (ซึ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ไทยในวันข้างหน้า) มันมีแต่เรื่องที่ชวนเศร้า ดูเหมือนว่าโรคขี้เกียจเรียนหนังสือจะเป็นกันเยอะทั้งระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา  บางคนก็บอกว่าเด็กไทยเดี๋ยวนี้เก่ง ได้รับรางวัลแข่งวิชาการโอลิมปิกส์สาขานั้นสาขานี้บ่อย ๆ ข่าวทำนองนี้แม้จริงแต่ก็เท็จ เพราะมันเป็นกรณียกเว้น หรือ exceptional case ที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนนิดเดียว ซึ่งใช้แทนมหาชนไม่ได้ เหมือนกับที่บอกว่าคนไทยหลายคนรวยติดอันดับโลก ก็ไม่ได้แปลว่าคนไทยส่วนใหญ่รวย

        เด็กในโรงเรียนที่ขี้เกียจเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อเรียนจบเป็นผู้ใหญ่ในที่ทำงาน ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ขี้กียจและอ่อนภาษาอังกฤษ การสะสมอุปกรณ์เป็นข้อแก้ตัวง่าย ๆ ที่ใช้บอกตัวเองว่าฉันไม่ได้ขี้เกียจ

        แม้ว่าอุปกรณ์สำหรับการศึกษาภาษาอังกฤษทุกวันนี้มีมากทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่มันก็เป็นแค่อุปกรณ์ที่ไม่สามารถใช้เอาชนะอุปสรรคเพราะคนใช้ไม่มีอิทธิบาท

        พอพูดมาถึงบรรทัดนี้ ผมต้องใช้เล็บหยิกก้นเตือนตัวเองว่าอย่าพูดมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังสำหรับคนที่ไม่มี  และเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดสำหรับคนที่มีแล้ว   ผมจึงขอพูดอย่างสั้นที่สุด

        อิทธิบาท start ที่ใจ....  ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา start ที่ใจทั้งนั้น

        เรียนภาษาอังกฤษด้วยฉันทะคือเรียนด้วยความรัก แต่ในเมื่อมันเกลียดมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกเบื่อปุบปับฉับพลันทุกครั้งที่ต้องยุ่งกับภาษาอังกฤษ เป็นยังงี้จะให้ทำยังไง  คำแนะนำสั้น ๆ ของผมก็คือ บอกใจให้รัก โอ้โลมปฏิโลม หว่านล่อม ชักแม่น้ำทั้งห้าร้อยสายชักจูงใจที่แข็งให้อ่อน, ใจที่เกลียดให้รัก,  ถ้าท่านบอกว่าทำไม่ได้ ผมขอถามว่าท่านเคยทำหรือเปล่า?  การบอกใจให้รักภาษาอังกฤษเนี่ย!! ถ้าเคยทำ ท่านทำอย่างจริงจัง หรือทำอย่างเสียไม่ได้?

        เรียนภาษาอังกฤษด้วยวิริยะคือเรียนด้วยความขยัน  ขยันแปลว่า เรียนไปทั้ง ๆ ที่ใจขี้เกียจ-เบื่อ-ท้อเต็มร้อย,แปลว่า   หาเวลาเรียนให้ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเวลาว่าง, ไม่เอาคำว่า “เรียนไม่รู้เรื่อง” มาเป็นเหตุผลในการเขียนใบลาหยุดเรียน ฯลฯ  ถ้าท่านบอกว่าทำไม่ได้ ผมก็ขอบอกว่า ถ้างั้นก็อย่าไปทำเลยครับ,  หรือทำอย่างขี้เกียจ ๆ ตามอารมณ์ก็ได้, ชีวิตนี้สั้นนัก เราไม่จำเป็นต้องขยันไปทุกเรื่อง, เรามีสิทธิขี้เกียจตามใจตัวเอง, แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่มีสิทธิได้รับอภิสิทธิ์ที่สังคมมอบให้แก่คนที่ไม่ตามใจตัวเอง

        เรียนภาษาอังกฤษด้วยจิตตะคือเรียนด้วยสมาธิ ถ้าท่านใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการเรียนภาษาอังกฤษ,  ครึ่งชั่วโมงที่เรียนไปพร้อมใจที่ฟุ้งซ่าน, คุยมือถือ, เล่น facebook, chat กับเพื่อน, สะลึมสะลือ, งัวเงีย, ฟังเพลง, ดูหนัง, คือ เอาใจไปใส่ไว้ในกิจกรรมอื่น ๆ หมด จนไม่เหลือใจให้กับภาษาอังกฤษที่วางอยู่ข้างหน้า, การเรียนแบบนี้คือไม่ได้เรียนครับ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกห้อง-สถานที่-โต๊ะ-เก้าอี้ที่เรานั่งเรียน  ที่สมพงศ์กับการเรียน, เลือกเวลาเรียน เช้า-สาย-บ่าย-เย็น-ตื่นนอน-ก่อนนอน ฯลฯ ที่สมพงศ์กับการเรียน, เลือกที่จะอยู่ห่างคนที่รบกวนสมาธิ,  เลือกที่จะอยู่ใกล้ใครบางคนที่ช่วยส่งเสริมสมาธิ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ท่านต้องจัดการตัวเองครับ

        เรียนภาษาอังกฤษด้วยวิมังสาคือเรียนด้วยสมองที่มองหาทางปรับปรุงการเรียนภาษาอังกฤษของตนเอง   เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าแปลกมากก็คือ  เด็กไทย – คนไทย จำนวนไม่น้อย เวลาจะเรียนหรือฟิตภาษาอังกฤษ ชอบให้คนอื่นวางแผนการเรียน หรือ study plan ให้ ทั้ง ๆ เรื่องนี้เราทำเองได้ดีกว่า  เพราะเราย่อมรู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อน-จุดแข็ง ตรงไหน,  ชอบ-ไม่ชอบ อะไร, ว่าง-ไม่ว่าง เวลาใด, มีเงินใช้เพื่อการนี้ มาก-น้อย เพียงใด, อยู่ใกล้-ไกล แหล่งการเรียนรู้-ครู-อุปกรณ์ อะไร ขนาดไหน, ควรวางแผนกิจกรรมการเรียน รายสัปดาห์ รายเดือน ราย 2 เดือนอย่างไรดี, เรื่องที่สงสัยขณะนี้ควรจะไปค้นหาที่ไหน หรือถามใคร ฯลฯ คำถามทำนองนี้ ท่านควรเป็นตัวหลักในการตอบ ส่วนคนอื่นที่ถึงแม้ว่าอาจจะเป็น “ผู้รู้” ก็เป็นแค่ตัวประกอบ  และคำตอบที่ท่านคิดได้ก็ไม่จำเป็นต้องคงที่ตลอดไป เพราะมันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา นี่เป็นวิมังสาที่ท่านต้องหาคำตอบเอง

        นับจากวันนี้ไปในอนาคตกาลอีก 1,000 ปี ถ้าท่านได้เกิดใหม่ที่ประเทศนั้น และสามารถมองเห็นผ่านกล้องส่องกาลย้อนกลับมายังเมืองไทยใน ค.ศ.นี้  ท่านอาจจะนึกเห็นใจว่า คนในยุคดึกดำบรรพ์สมัยประมาณ ค.ศ. 2,000 ต้องฝ่าฟันศึกษาภาษาโลกอย่างเอาเป็นเอาตาย และเทคโนโลยีที่มีอยู่ก็ล้าหลังช่วยมนุษย์ได้เล็กน้อยมากในการเรียนภาษาโลก  ถ้าท่านอยู่ที่นั่น ขอให้ท่านปรับกล้องส่องกาลสักนิด และท่านจะเห็นว่า  คนที่เรียนภาษาโลกในยุคดึกดำบรรพ์เช่นปัจจุบันนี้  หลายคนเรียนเหมือนกันแต่ก็เรียนไม่เหมือนกัน  บางคนเห็นความยากในการเรียนเป็นภาระและความทุกข์ที่ต้องทน   แต่บางคนเห็นเป็นการท้าทายที่น่าเล่นและเอาชนะ และไม่เคยเป็นทุกข์แม้ว่าเล่นแล้วจะแพ้บ้าง

        ท่านอย่าเรียนภาษาอังกฤษในแบบที่คนในอนาคตมองมาแล้วรู้สึกสงสารเลยครับ

 

พิพัฒน์

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com