อย่าปิดหูปิดตาฝึกพูดภาษาอังกฤษ

ปิดตา

 สวัสดีครับ

           คนไทยจำนวนมากที่แทบไม่เคยพูดภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติ พอมีโอกาสจะพูดจึงไม่กล้า กลัวไปสารพัดอย่าง และก็คิดว่าจะพูดได้ต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ เมื่อเรียนมาแล้ว  บางคนก็พูดได้ดีขึ้นเยอะ บางคนก็พูดได้ดีกว่าเดิมนิดหน่อย แต่บางคนก็พูดไม่ได้เหมือนเดิม วันนี้ผมจะคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้

           พอท่านเดินเข้าประตูโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ และบอกเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ว่าจะมาสมัครเรียนคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษ สิ่งแรกที่เขาจะให้ท่านทำก็คือทดสอบวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษของท่าน ซึ่งมักจะมี grammar, reading และ listening เมื่อรู้ผลแล้วเขาก็จะแนะนำคอร์สที่เหมาะสมที่ท่านควรเริ่มเรียน

           จุดที่หลายคนอาจจะผิดหวังเริ่มจากตรงนี้

           เรื่องที่ 1: เขาอาจจะจำกัดจำนวนผู้เรียนไม่เกิน 10 – 15 คนต่อ 1 ห้องต่อการเรียน 1 ครั้งประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง ท่านลองคำนวณดูด้วยตัวเองก็ได้ครับว่า เมื่อหักเวลาที่อาจารย์พูดอธิบายออกไป จะเหลือเวลาให้ผู้เรียนฝึกพูดกี่นาที และเมื่อหารด้วยจำนวนคนเรียนทั้งห้อง แต่ละคนจะได้ฝึกพูดกี่นาที ถ้าการอยู่ในห้องเรียน 1 ครั้งท่านได้พูดประมาณ 15 นาที รวมทั้งคอร์สกี่ครั้ง ท่านจะได้พูดรวมแล้วทั้งหมดกี่นาที ถ้าท่านฝึกพูดเฉพาะเวลาที่อยู่ในห้อง โอกาสพูดคล่องจะมีไหม?

           เรื่องที่ 2: ตามหลักการนั้น โรงเรียนจะจัดกลุ่มผู้เรียนที่เก่ง-อ่อนใกล้เคียงกันให้เรียนในห้องเดียวกัน เพราะถ้าคนเก่งไม่เท่ากันเรียนห้องเดียวกันครูจะสอนลำบาก แต่หลักการนี้หลายโรงเรียนอาจจะไม่ได้ปฏิบัติ เพราะว่าจำนวนผู้เรียนที่มีผลการ test ในระดับนั้นระดับนี้มันไม่พอดีกับจำนวนห้อง และถ้าโรงเรียนต้องจัดโดยยึดผู้เรียนเป็นหลัก ก็อาจจะได้ผู้เรียนไม่เต็มห้องตามยอดที่ตั้งไว้ ไม่คุ้มกับค่าครูที่โรงเรียนต้องจ่ายและค่าโสหุ้ยอื่น ๆ บางโรงเรียนก็แก้ปัญหา(ของโรงเรียน)ด้วยวิธีง่าย ๆ คือจัดให้ผู้เรียนที่มีทักษะคนละระดับอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อจะได้มีนักเรียนเต็มห้อง และให้ครูผู้สอนแก้ปัญหาเอาเองเมื่อถึงเวลาสอน ท่านลองจินตนาการเอาเองแล้วกันครับว่า ถ้าท่านไม่ค่อยเก่งแล้วต้องไปเรียนร่วมห้องกับคนเก่งพูดคล่องหรือช่างพูด มันจะเป็นยังไง

           เรื่องที่ 3: ชาวต่างชาติที่โรงเรียนจ้างเป็นผู้สอนคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษนั้น หลายคนก็ไม่ได้จบการศึกษามาทางด้านการสอน และไม่มีประสบการณ์ในการสอนภาษา แม้ว่าจะเป็นภาษาของเขาก็ตาม บางคนก็เป็น backpacker มารับจ้างสอนชั่วคราว เพราะฉะนั้น ในข้อเท็จจริงอย่างนี้ การหวังมากเกินไปคงไม่ดีนัก

           เอาละ อาจจะมีโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษบางแห่งที่โฆษณาว่า ปัญหาทั้ง 3 เรื่องที่ว่ามานี้ที่โรงเรียนของเขาไม่มี เพราะเขาเรียนเป็นกลุ่มย่อยไม่เกิน 3 – 4 คน และทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน และครูต้องได้รับ certificate รับรองความรู้ความสามารถในการสอน นอกจากนี้โรงเรียนของเขายังจัดสิ่งแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นเร่งเร้าให้ผู้เรียนพูดภาษาอังกฤษทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงเรียนหรือห้องเรียน มีครูที่ปรึกษาประจำตัวคอยถามไถ่ แก้ปัญหา ให้กำลังใจผู้เรียนทุกคน และยังมีบริการอีกสารพัดอย่างเสิร์ฟให้ คำถามของผมคือ ท่านพอจะเดาได้ไหมว่า ค่าเรียนที่โรงเรียนคิดต่อ 1 คอร์สนั้นเท่าไหร่ ท่านจะมีเงินสู้ไหวไหมสำหรับตัวท่านเองที่อยากเรียน หรือสำหรับลูกหลานที่ท่านอยากส่งเขาเข้าไปเรียน

           ผมขอชี้ให้ท่านดูอีกภาพหนึ่ง ท่านอาจเคยได้ยินเพื่อนบอกว่า ไปเรียนที่นั่นที่นี่ซี ไม่เครียด อาจารย์สอนสนุก ฮาทั้งชั่วโมง ผมขอถามหน่อยว่า ท่านต้องการไปเรียนฝึกพูดภาษาอังกฤษหรือต้องการไปฟังทอร์คโชว์ ท่านได้หลักเกณฑ์ที่สามารถนำมาฝึกพูดด้วยตัวเองบ้างไหม หรือทุกครั้งที่จะฝึกพูด จะต้องไปฝึกพูดกับครู ไปฟังครูพูด ไปพูดให้ครูฟัง ชีวิตนี้ขาดครูไม่ได้เลยหรือ

           เพื่อนผมคนหนึ่งลาออกจากราชการมาทำธุรกิจส่วนตัว เขาจะต้องพูดกับเอเย่นต์และลูกค้าต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็พูดได้กระท่อนกระแท่นมาก จึงแก้ปัญหาด้วยการให้หลานที่เรียนจบสหรัฐฯมาช่วยพูดติดต่อให้ แต่มันก็ไม่ได้ดังใจ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไปเข้าคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษยาวหลายเดือนพร้อมกับอยู่กับครอบครัวฝรั่งที่เมืองนอก เขาหวังว่าเมื่อจบคอร์สกลับมาเมืองไทยจะพูดฝรั่งได้คล่อง การตัดสินใจของเพื่อนคนนี้มีเพื่อนหลายคนเห็นด้วย ในความเห็นของเขา ถ้าไม่มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษพูดจาในชีวิตจริงก็ไม่มีทางพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง

           ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ที่พูดมายืดยาวทั้งหมดนี้ผมต้องการจะบอกอะไร ผมต้องการจะบอกอย่างนี้ครับ:

           [1] ทุกคนรู้แล้วว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยเปิดตัวติดต่อกับโลกทั้งโลก และเราจำเป็นต้องพูดกับชาวโลกให้รู้เรื่องด้วยภาษาสากลของโลก คือ ภาษาอังกฤษ

           [2] พวกเราทุกคนรู้ และชาวโลกก็รู้ ว่าทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของคนไทยอ่อนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านสามัญ คนที่ยังเรียนหนังสือ คนที่ทำงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตัว งานราชการ งานเป็นลูกจ้างบริษัท ถ้างานนั้นต้องพูดภาษาอังกฤษที่ยากสักหน่อย คนไทยจะเดี้ยง

           [3] และเมื่อจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้พูดเป็น พูดคล่อง สิ่งแรก (และสิ่งเดียว)ที่คนไทยส่วนมากมักนึกถึง ก็คือครูสอนภาษาอังกฤษ และโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ถ้าไม่มีครูผู้สอนและไม่มีโรงเรียน การเรียนก็เกิดขึ้นไม่ได้

           [4] แต่ปรากฏการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ เกี่ยวกับการฝึกพูดภาษาอังกฤษของคนไทยเพื่อให้มีทักษะนี้รับกระแสโลก กลับมีแต่เรื่องน่าผิดหวัง เพราะว่า ดูเหมือนมันไม่มีคำตอบเอาซะเลย ทำไมล่ะ ?

  • แม้ว่าโรงเรียนสอนภาษาเอกชนบางแห่งที่พอสู้ราคาไหวจะเป็นที่พึ่งได้บ้าง แต่หลายแห่งก็พึ่งไม่ได้อย่างที่คุย และเสียเงินอย่างไม่คุ้มค่า
  • โรงเรียนสอนภาษาเอกชนที่มีชื่อว่าสอนดี ก็แพงจนหูฉี่สู้ค่าสอนไม่ไหว
  • จะไปเรียนเมืองนอก ก็ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา

           จึงมาถึงข้อสรุปเดิม ๆ ที่ผมพูดไว้หลายครั้งในเว็บนี้ ว่า

           [1] ท่านฝึกเองเถอะครับ แต่อย่าปิดหูปิดตาฝึกพูดภาษาอังกฤษ คำว่า “ปิดหู” คือไม่ยอมฝึกฟัง และคำว่า “ปิดตา” คือไม่ยอมฝึกอ่าน เมื่อไม่ได้ฝึกฟังและไม่ได้ฝึกอ่าน ก็ไม่ได้สำเนียง ไม่ได้สำนวน และไม่ได้ศัพท์ ก็ยากนักที่การฝึกพูดจะได้ผลดี ตาและหูคือครูที่แท้จริงของปาก ปากจะพูดได้ดีเพราะมีตาและหูเป็นผู้ช่วย สิ่งที่เราอ่านผ่านตาและฟังผ่านหู จะเป็นครูที่บอกเราว่า พูดอย่างไรให้ผิดน้อยหรือไม่ผิดเลย

           [2] ท่านอย่ารอครูเลยครับ อย่าทำเหมือนกับว่า ครูเป็นบ๋อยที่นำอาหารคือบทเรียนมาเสิร์ฟท่านถึงที่โต๊ะ ท่านต้องเสิร์ฟตัวเองครับ และในเน็ตก็มีบทเรียนมากมายให้ท่านเลือก โดยเฉพาะบทเรียนจากเว็บฝรั่งที่มากกว่าเว็บไทยทั้งปริมาณและคุณภาพ ลูกเล่น เทคนิค รายละเอียดดี ๆ ต่าง ๆ มากมาย ท่านต้องลงทุนสืบค้นและเสิร์ฟตัวเอง อย่ารอครูเลยครับ เมื่ออยู่ในโรงเรียนท่านอาจจะเป็นนักเรียนที่ขยัน ครูสอนให้ทำอะไรก็ทำหมด แต่ตอนนี้ที่ท่านไม่ได้เป็นนักเรียนแล้ว ไม่มีครูมามอบการบ้าน ท่านจึงต้องเป็นครูมอบการบ้านให้ตัวเอง และเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ทำการบ้านนั้น

            [3] ในการฝึกพูด ถ้ามีคนจริง ๆ ให้ฝึกพูดด้วยก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้ายังไม่มีก็ฝึกอย่างอื่นแทนไปก่อนได้ การฝึกเปล่งเสียงคำศัพท์เป็นคำ ๆ, ฝึกพูดประโยคสนทนาทีละประโยค โดยเลือกประโยคที่มีโอกาสใช้นำมาฝึกพูดก่อน, การฝึกอ่านออกเสียงวันละ 1 หน้า, การฝึก present ต่อกลุ่มผู้ฟังในจินตนาการวันละ 1 เรื่อง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นบทฝึกพูดด้วยตัวเองที่ได้ผลโดยไม่ต้องมี partner เป็นคนจริง ๆ

           [4] การฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผล จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าความอยากเยอะแต่ความพยายามน้อย, สมาธิสั้นแต่ความกังวลยาว ก็คงทำอะไรไม่สำเร็จ

           พูดมาถึงตรงนี้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเพลงเก่าเพลงนั้นของวงแฮมเมอร์ ท่านลองคลิกฟังดูก็ได้ครับ

4 วรรคแรกของเนื้อเพลงบอกว่า....

ทำไมครูที่นี่มีน้อยนัก

เด็กๆมักถามถึงครูอยู่เสมอ

ครูคนใหม่อยู่ไหนกันเล่าเออ

เด็กชะเง้อคอยครูอยู่ทุกวัน

           ทุกวันนี้เมื่อเราต้องการฝึกพูดภาษาอังกฤษ เราไม่ต้อง “ถามถึงครูอยู่เสมอ” และไม่ต้อง “ชะเง้อคอยครูอยู่ทุกวัน” หรอกครับ เพราะครูก็คือตัวเราเอง คือปากที่เปิดพูด คือหูที่เปิดฟัง และคือตาที่เปิดอ่าน

           ตัวเราเอง ใจของเราเอง ปาก-หู-ตาของเราเอง เป็นห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เราเปิดประดูเข้าไปฝึกได้ทุกวัน

พิพัฒน์

https://www.facebook.com/En4Th