Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

วิธีฝึกคิดและพูดภาษาอังกฤษ โดยไม่คิดเป็นภาษาไทย

สวัสดีครับ
       ผมฟัง 3 คลิปข้างล่างนี้ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกัน คือเขาบอกว่าถ้าเราพูดภาษาอังกฤษโดยต้องแปลเป็นภาษาแม่ก่อน(ของเราก็คือภาษาไทย) มันจะทำให้ภาษาอังกฤษที่เราพูดออกมาไม่เป็นธรรมชาติ เพราะทั้งศัพท์และแกรมมาร์ถ้าแปลจากภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษมันก็อดไม่ได้ที่จะเพี้ยน เพราะโครงสร้างประโยคและศัพท์ของทั้งสองภาษามันต่างกัน และข้อเสียประการที่สองคือ เมื่อต้อง "คิด-แปล-พูด" ถึง 3 ขั้นอย่างนี้มันทำให้ติดขัด ชะงัก และใช้เวลามาก แต่ถ้า "คิด-พูด" เป็นภาษาอังกฤษไปเลย ปัญหาเรื่องพูดช้าและชะงักก็จะไม่เกิด
       พูดตรง ๆ นะครับ คำแนะนำให้ "คิดเป็นภาษาอังกฤษ" ทำนองนี้ผมเชื่อว่าพวกเราก็ได้ยินกันมาเยอะแล้ว แต่เราคงรู้สึกว่า การจะให้คิดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อจะได้พูดเป็นภาษาอังกฤษออกไปเลยโดยไม่ผ่านภาษาไทยในสมองนั้นมันทำไม่ได้ แต่ฝรั่ง 3 คนใน 3 คลิปนี้ เขาก็ให้คำแนะนำในการฝึกคล้าย ๆ กัน โดยเขายืนยันว่า ถ้าเราฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยให้ 2 ปัญหาคือพูดภาษาอังกฤษได้ช้าและพูดไม่เป็นธรรมชาติหายไป โดยวิธีฝึกนั้น ให้
     (1) เริ่มฝึกจากสิ่งง่าย ๆ
     (2) ฝึกทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง อย่าขาด
     (3) มันจะฝึกได้ผลช้า ติดขัด ผิดพลาด ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก
     (4) ถ้าฝึกคิดแล้วติดขัด ไม่ว่าจะเป็นติดศัพท์หรือแต่งประโยคไม่ออกหรือไม่แน่ใจ ก็ให้จดไว้เพื่อไปหาคำตอบ อาจจะค้นคว้าจากตำรา เว็บ หรือผู้รู้ หรือวิธีอื่นใดก็ได้
       ข้อที่น่าสนใจที่สุดในคำแนะนำของเขาก็คือ ขั้นตอนในการฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ มี 4 ขั้นตอน จากง่ายไปยาก ดังนี้
ขั้นที่ 1: คิดเป็นคำ ๆ
       คือมองเห็นอะไรก็ให้คิดเลยว่า ศัพท์ภาษาอังกฤษมันว่ายังไง ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน ขณะเดินทาง ฯลฯ ก็ให้ฝึกอย่างนี้เป็นนิสัย
ขั้นที่ 2: คิดเป็นประโยค
       พอคิดเป็นคำ ๆ เริ่มจะคล่อง ก็ให้ขยับไปคิดเป็นประโยค โดยเริ่มจากประโยคที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน โดยประโยคพวกนี้อาจจะเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่กับที่, สิ่งเคลื่อนไหว, สิ่งที่เรามองเห็นหรือได้ยิน อาจจะอยู่ในบ้าน หรือขณะเดินทาง หรืออยู่ในที่ทำงาน เราทำได้เพราะเราไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่ฝึกสมองให้คิดเงียบ ๆ อยู่ข้างใน ถ้าคิดเป็นภาษาอังกฤษเต็มประโยคคิดไม่ออก ก็ให้คิดครึ่งประโยคที่คิดออก หรือย้อนกลับไปคิดเป็นคำ ๆ ตามขั้นที่ 1 ก็ได้
ขั้นที่ 3: คิดวางแผน
       เมื่อจะล้มตัวลงนอนหรือเมื่อลุกขึ้นตื่นนอน ก็ให้คิดเป็นภาษาอังกฤษว่า พรุ่งนี้หรือในวันนี้เราจะทำอะไร ให้คิดเป็นกิจกรรม 1... 2... 3... 4... ไปเรื่อย ๆ เช่น ทำไอ้นั่น แล้วก็ทำไอ้นั่น แล้วก็ทำไอ้นั่น และถ้าเป็นไปได้หรือมีเวลาก็ให้พยายามฝึกว่า ตอนที่อยู่ในสถานการณ์จริง ๆ เมื่อเราพูดประโยคภาษาไทยออกไปว่ายังไง ให้คิดประโยคนั้นตามทันทีในสมองเป็นภาษาอังกฤษ พยายามฝึกอย่างนี้ให้ได้มากที่สุด การฝึกอย่างนี้เราไม่ต้องเขินอายอะไร เพราะไม่มีใครได้ยินเราพูด แต่แม้จะไม่มีอะไรมากดดันเราก็อย่าหยุดฝึก
ขั้นที่ 4: จินตนาการว่าเราพูดภาษาอังกฤษยาว ๆ
       อาจจะใช้เวลาที่เรานั่งคอยเพื่อน กำลังเดินทาง หรือเวลาส่วนตัวที่อยู่คนเดียว ให้จินตนาการว่าเรากำลังถามและตอบตัวเองในเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือคุยกับเพื่อน(ต่างชาติ)เป็นภาษาอังกฤษนาน ๆ แบบเขาถามเราตอบ เราถามเขาตอบ หรือเรากำลังเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เขาฟังเป็นภาษาอังกฤษ
       ท่านผู้อ่านครับ เมื่อดูทั้ง 3 คลิปนี้จบผมก็ถามตัวเอง 2 ข้อว่า คำแนะนำพวกนี้

       (1)คนไทยสามารถฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม? และ

       (2)เมื่อฝึกแล้วจะช่วยให้พูดภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติอย่างที่เขาโฆษณาไหม?

       หลังจากที่คิดรอบคอบแล้วผมขอตอบว่า "ได้" ทั้ง 2 คำถาม แต่เราจะต้องฝึกอีกอย่างหนึ่งควบไปด้วย คือ ในทุกวันที่ฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ ตามขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 4 นี้ เราจะต้องเจียดเวลาพอสมควรให้กับการฟังและอ่านภาษาอังกฤษด้วย คือฟังเรื่องง่าย ๆ และอ่านเรื่องง่าย ๆ ... ง่ายมาก ๆ.... ง่ายชนิดที่เราฟังรู้เรื่องและอ่านรู้เรื่อง รู้และเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทยในสมอง (หรือแปลก็แค่นิดๆหน่อยๆ) และสิ่งง่าย ๆ ที่เราบรรจุใส่สมองผ่านการฟังและการอ่านเช่นนี้แหละ มันจะเป็นเชื้ออย่างดีที่จุดประกายให้เราสามารถคิดพูดในใจเป็นภาษาอังกฤษได้ ไม่ว่าจะคิดพูดเป็นคำ ๆ, คิดพูดเป็นประโยค, หรือคิดพูดเป็นเรื่องราว ได้ทั้งนั้น
       เอาละครับ ท่านลองฟังคำแนะนำของทั้ง 3 คลิปนี้ด้วยตัวเองแล้วกันครับ ถ้าเห็นด้วยก็ฝึกตามขั้นตอนที่เขาแนะนำ บวกกับคำแนะนำของผม ขอรับรองครับว่า ท่านจะค่อย ๆ สามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษ และพูดภาษาอังกฤษ โดยไม่ต้องคิดแปลเป็นภาษาไทย หรือถ้าต้องแปลก็จะค่อย ๆ แปลน้อยลง ๆ อย่างแน่นอน
       เชิญครับ...




พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com