Home
ชวนฝึกอ่านภาษาอังกฤษ : วิตามินรวมและอาหารเสริม ควรกินเมื่อไหร่ - กินยังไง?
วิตามินรวมและอาหารเสริม ควรกินเมื่อไหร่ - กินยังไง?
ทุกวันนี้วิตามินรวมและอาหารเสริมเป็นธุรกิจใหญ่มาก แม้บางคนจะบอกว่าถ้ากินอาหารครบหมู่ของพวกนี้ก็ไม่จำเป็น แถมกินมากเกินไปร่างกานอาจแย่บางอย่างด้วยซ้ำ ยกเว้นคนอยู่ในภาวะพิเศษเช่น คนตั้งครรภ์ หรือเด็กที่ขาดสารอาหาร อันนั้นกินเสริมได้ไม่เสีย
แต่ไม่ว่าคนหรือองค์กรใดจะว่าอย่างไร แต่ว่าคนทั่วไปจำนวนไม่น้อยที่สุขภาพดี ก็กินของเสริมสุขภาพเหล่านี้เป็นประจำ เพราะฉะนั้น คำถามที่ realistic จึงน่าจะเป็น " จะกินเวลาไหน และกินอย่างไร ให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด " คำถามนี้อาจจะมีคำตอบแล้วโดยอ่านที่กล่องยา แต่ว่าจะเป็นประโยชน์มากถ้าเรามีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราอาจจะสนใจประโยน์ที่ว่านี้มากขึ้น ถ้าเราต้องจัดมันให้คนในครอบครัว เช่น สามี ภรรยา ลูกหรือหลานตัวเล็ก ๆ หรือคนแก่-ญาติผู้ใหญ่ในบ้าน
ผมไปเจอบทความนี้ จากเว็บ นสพ Washington Post ของสหรัฐฯ
==> Morning or night? With food or without? Answers to your questions about taking supplements.
ซึ่งมีประโยชน์มาก โดยเขาตอบคำถามว่า
- Morning or night? - กินตอนเช้าหรือกลางคืน
- When to take supplements - กินเมื่อไหร่
- With food or without? - กินเมื่อท้องไม่ว่างหรือท้องว่าง
- Better together - อาหารเสริมบางตัวน่าจะกินด้วยกัน
- Better apart - แต่บางตัวไม่น่าจะกินในเวลาติดกัน
- Sample supplement schedule - ตัวอย่างการกินใน 4 เวลา
- With breakfast
- With lunch
- With dinner
- Before bed
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
Christy Brissette is a registered dietitian, nutrition writer, TV contributor and president of 80TwentyNutrition.com
แถม : เรื่องเดียวกันนี้ ที่เป็นภาษาไทย
==> วิตามินรวมและอาหารเสริม ควรกินเมื่อไหร่ - กินยังไง?
ขอแบไต๋ก่อนจบ
การจะรู้เรื่องนี้ไม่ต้องลำบากหาอ่านจากเว็บฝรั่งก็ได้ แค่พิมพ์คำค้นเป็นภาษาไทย ก็มีคำตอบให้เป็นกะตั๊ก ๆ
แต่ผมต้องการกระตุ้นหรือคะยั้นคะยอก็ได้ ให้ท่านที่รักจะเก่งอังกฤษ ได้ฝึกอ่านเรื่องที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ เพื่อจะได้ 2 อย่างในการอ่านครั้งเดียว คือ อังกฤษ + ความรู้ ท่านอาจจะบอกว่า เรื่องความรู้คงไม่ได้เพิ่มหรอกเพราะอ่านภาษาไทยก็ได้ ผมอยากจะบอกความเชื่อที่ผมยึดมั่นมาตั้งแต่เข้าเรียน ปี 1 มหาวิทยาลัย คือ ในโลกนี้ยังมีความรู้ดี ๆ อีกเยอะที่เราไม่เคยอ่าน หรือไม่มีวันได้อ่าน ทั้งความรู้ใกล้ตัวในบ้าน และความรู้ไกลตัวในโลกกว้าง เพราะมันไม่ได้เขียนเป็นภาษาไทย แต่มันเขียนอยู่ในภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ และยิ่งสมัยนี้มีเน็ต สัจจะข้อนี้ก็จริงยิ่งกว่าจริง ท่านอาจจะบอกว่าผู้รู้ชาวไทยก็เก่ง ตามติดชนิดกระชั้นไปค้นหาความรู้ทั้งโลกมาบอกเล่าให้คนไทยได้อ่านและฟังผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคม
แต่ผมก็ยังยืนยัน นั่งยัน นอนยัน เหมือนเดิมว่า ยังมีความรู้ดี ๆ อีกเยอะที่เราไม่เคยอ่าน หรือไม่มีวันได้อ่าน เพราะมันไม่ได้เขียนเป็นภาษาไทย แต่มันเขียนอยู่ในภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น ถ้าการอ่านภาษาอังกฤษของเราเองยังไม่แข็งพอ ฝึกอ่านทุกวันเถอะครับ คุ้มค่าคุ้มเวลาแน่ ๆ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอกกับการเดินจงกรม
ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอกกับการเดินจงกรม
【1】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก
【2】ประสบการณ์ในการเดินจงกรม
【3】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก กับการเดินจงกรม
【1】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก
ตอนที่ยังทำงานอยู่ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ผมสมัครสอบชิงทุนของกระทรวงการต่างประเทศ และสอบได้ไปฝึกอบรมระยะสั้น ๆ ที่ 4 ประเทศ คือ นิวซีแลนด์, เยอรมนี, อินเดีย และสวีเดน นี่เป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะนอกจากได้ความรู้ ยังได้เพื่อน และได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษจริง ๆ ในช่วงเวลาที่ยาวเป็นเดือน
สำหรับผม ข้อสอบของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ค่อนข้างยาก ซึ่งมักจะมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ Reading และ Listening ส่วนของ Reading นั้นง่ายกว่า เพราะถ้างงหรือไม่แน่ใจก็อ่านซ้ำได้ ส่วนนี้ผมทำคะแนนได้เยอะ แต่ส่วน Listening นั้นผมทำได้คะแนนน้อยกว่า และไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกอย่างนี้ เพราะทุกครั้ง Listening จะสอบก่อน แล้วจึงค่อยให้ทำส่วน Reading จนหมดเวลา พูดง่าย ๆ ก็คือ ส่วนของ Listening นั้น ทำแล้วทำเลย ไม่มีโอกาสฟังซ้ำ แต่ส่วนของ Reading ถ้างงหรือไม่แน่ใจตรงไหนก็อ่านซ้ำได้ แต่ก็ต้องรีบ ไม่อย่างนั้นจะหมดเวลาก่อนทำครบทุกข้อ
เมื่อหมดเวลาและเดินออกจากห้องสอบ บ่อยครั้งที่ผมได้ยินผู้เข้าสอบหลายคนคุยบ่นว่า Listening ฟังไม่รู้เรื่องเลย ที่ตลกก็คือ ฟังเรื่องเดียวกันแต่เข้าใจไปคนละเรื่อง เข้าทำนองคนหนึ่งบอกว่า ข้อสอบเขาถามเรื่องดวงจันทร์ แต่อีกคนหนึ่งบอกว่าเขาถามเรื่องดาวอังคาร อะไรทำนองนี้ เรื่องของเรื่องก็คือ ข้อสอบชิงทุนของกระทรวงการต่างประเทศมักจะยากแบบยอกย้อน กินมันไม่ได้ง่าย ๆ หลายข้อลวงให้เราตอบผิดอย่างมั่นใจ
ถ้ามีเพื่อนที่ไปเข้าสอบชิงทุนถามผมว่า ทำยังไงให้สอบ Listening ได้คะแนนเยอะ ๆ คำตอบของผมจะเหมือนกันทุกครั้ง คือ คนเข้าสอบชิงทุนไปเมืองนอกก็เหมือนนักมวย คือ (1) ก่อนขึ้นชกบนเวทีต้องซ้อมให้หนัก และ (2) ขณะที่กำลังชกบนเวทีต้องมีสติและสมาธิ อย่าเผลอ เผลอเมื่อไหร่อาจถูกคู่ต่อสู้สอยร่วงเมื่อนั้น การทำโจทย์ Listening ก็เช่นเดียวกัน คือ ก่อนเข้าห้องสอบต้องซ้อมมาให้ดี และขณะอยู่ในห้องสอบสมาธิต้องมั่นคง เผลอเมื่อไหร่อาจถูกข้อสอบ Listening สอยร่วงเมื่อนั้น คือไม่รู้ว่าควรจะตอบข้อ A, B, C หรือ D
การฟังอย่างมีสมาธิแปลว่าอะไร ? มันแปลว่า ขณะที่ฟัง - ให้เอาความคิดทั้งหมดจดจ่อกับประโยคที่กำลังฟัง และขณะที่อ่าน multiple choice เพื่อตอบ - ให้เอาความคิดทั้งหมดจดจ่อกับประโยคหรือที่กำลังอ่าน ทำเสร็จข้อใดข้อหนึ่งแล้วก็แล้วกัน อย่าปล่อยให้ความกังวลหรือความพะวงค้างใจ และทำข้อถัดไปด้วยใจที่ไม่ว่างหรือไม่เต็มร้อย เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้ทุกข้อ คือทุกครั้งที่ฟังเพื่อทำข้อใหม่ ความคิดของเราก็จะคล้ายมีดที่ทื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อฟังผ่านไปถึงข้อท้าย ๆ อาจจะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย คล้าย ๆ กับฟังพระสวดอภิธรรมเป็นภาษาบาลีตอนไปงานศพ
สรุปก็คือ ขณะที่ฟังข้อสอบ ให้มีสมาธิอย่างเต็มที่ต่อประโยคที่กำลังฟัง ไม่ใช่ไปพะวงกับประโยคที่ฟังผ่านไปแล้ว หรือประโยคข้างหน้าที่ยังไม่ได้ฟัง ถ้าทำได้อย่างนี้ โอกาสได้คะแนนดีก็มีมากขึ้น
【2】ประสบการณ์ในการเดินจงกรม
ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 มีพระรูปหนึ่งสอนผมว่า สมาธิมีลักษณะและประโยชน์ 3 อย่าง (ท่านให้ภาษาอังกฤษมาด้วย) คือ บริสุทธิ์ - pure, ตั้งมั่น - stable และเหมาะกับการทำงาน - active และการทำสมาธิจะนั่งทำหรือเดินทำก็ได้ ถ้านั่งทำเราเรียกว่านั่งสมาธิ แต่ถ้าเดินทำเราคนไทยไม่เรียกวาเดินสมาธิ แต่เรียกว่าเดินจงกรม
ผมเองตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว นั่งสมาธิได้ไม่ดี ไม่เคยนั่งได้สมาธิลึกแม้แต่ครั้งเดียว คือถ้าไม่ฟุ้งก็ฟุบ ง่วงเป็นประจำ แม้จะแก้ด้วยหลาย ๆ วิธีแล้วก็ไม่หาย ตอนหลัง ๆ ผมเปลี่ยนมาใช้วิธีเดินจงกรมก็รู้สึกว่าดีขึ้น เพราะแม้ว่าสมาธิที่เกิดขึ้นจะได้แค่แผ่ว ๆ แต่ประโยชน์ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ มันเหมาะกับการงาน ทั้งการงานทางโลกและการงานทางธรรมหรือทางจิตใจ
ตรงนี้ขออนุญาตอธิบายสักนิด การงานทางโลกก็คือ เมื่อทำงานอย่างมีสมาธิ นั่นคือเมื่อความคิดนิ่งและความรู้สึกสงบ ขณะนั้นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการงานทางธรรมหรือทางจิตใจนั้น เมื่อมีความคิด(thinking) หรือความรู้สึก (feeling) เกิดขึ้นในจิตใจ ให้มองเห็นความรู้สึกนึกคิดขณะนั้น ๆ ว่า มันจะชวนให้เราพูดหรือทำอะไร สิ่งนั้น ๆ ดีงาม ถูกต้อง เหมาะสม หรือไม่ หรือถ้าปฏิบัติให้ลึกยิ่งขึ้น ก็ให้มองเห็นความจริงตามสภาพธรรมชาติของทุกความรู้สึกนึกคิดว่า มันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ที่ภาษาพระเรียกว่า อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รุนแรง ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมันมาก ดูมันไปก่อน มันอาจจะเป็นของหลอกก็ได้ คือความอยากหรือกิเลสมาหลอกให้รู้สึกอย่างนั้นหรือคิดอย่างนั้น ถ้ารออีกสักหน่อย เมื่อมันเห็นเราไม่เชื่อมัน ไม่ทำตามที่มันชวน บ่อยครั้งมันจะขี้เกียจรอ-ขี้เกียจคะยั้นคะยอเรา อาจจะไปโดยไม่บอกลาก็ได้
ผมขอเปรียบเทียบอย่างนี้ สมาธิที่ใช้ทำงานทางโลกก็เหมือนคนถือมีดคมพร้อมใช้ทำงานฟันนั่นฟันนี่ ซึ่งก็ฟันได้ดีเพราะมันคม ส่วนสมาธิที่ใช้ทำงานทางธรรมนั้นต่างกัน คือ เหมือนเราแยกร่างออกมายืนอยู่ใกล้ ๆ, มองดูตัวเองกำลังถือมีดคม, และเรายังมีสติสามารถบอกให้คนที่ถือมีดนั้น พูดหรือทำ, หรือไม่พูด-ไม่ทำ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือถ้าจะปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปกว่านั้นก็คือ ให้ปล่อยวาง เพราะไอ้คนที่กำลังถือมีดนั้น สักเดี๋ยวมันอาจจะหายแวบไปก็ได้ เพราะมันก็มันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เหมือนกัน การเห็นความคิดจิตใจและไม่ยึดมั่น จะช่วยให้พูดหรือทำอะไรด้วยใจที่ว่างและไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อย นี่คือการใช้สมาธิทำงานทางธรรม ซึ่งถ้าทำเป็นก็ไม่ขัดกับการใช้สมาธิทำงานทางโลก
ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ สมาธิจากการเดินจงกรมถ้าทำอย่างตั้งใจและต่อเนื่อง ผลก็ยิ่งใหญ่มหาศาล แต่ผมเองมักทำอย่างไม่ตั้งใจและไม่ต่อเนื่อง ผลที่ได้จึงเล็กน้อย ไม่น่าภูมิใจและไม่กล้าพูดอวดเพื่อน
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (พ.ศ. 2561) ผมล้มป่วยเพราะโรคมะเร็งระบบเลือด มันแพร่ไปที่กระดูก ระยะแรกร่างกายอ่อนแอได้แต่นอนติดเตียง โชคดีได้หมอและยาช่วยทำให้ร่างกายฟื้นเร็ว แต่กระนั้นก็เคลื่อนร่างกายและแขนขาได้ช้าและยังโคลงเคลงอยู่บ้าง และแม้แต่จะพูดก็ช้าลง แต่นี่กลับเป็นโชค เพราะสมัยที่ร่างกายและปากเคลื่อนไหวได้ปรู๊ดปร๊าด บ่อยครั้งที่สติตามไม่ทันจึงพูดผิด-ทำผิดบ่อย ๆ บางเรื่องทุกวันนี้เมื่อนึกถึงก็ยังเสียใจ ในวันนี้เป็นคนไข้ไม่มีอะไรให้ทำมาก เมื่อใช้สติมองย้อนหลังก็เห็นอะไรชัดขึ้น และเมื่อมองไปข้างหน้าก็กะว่าจะนำอดีตมาสอนปัจจุบัน ส่วนอนาคตนั้นไม่แน่ ถ้ากรรมใจดีอาจจะให้มีชีวิตอยู่นานหน่อย แต่ถ้ากรรมเป็นครูตรวจข้อสอบแบบเข้ม อาจจะให้ตายเร็วหรือทุเลาช้า เรื่องนี้ก็ว่าใครไม่ได้ มันกรรมของเราเอง
การไม่สบายครั้งนี้ยังมีอีก 1 โชคที่ขอเล่า คือหมอสั่งว่าอยู่บ้านให้ออกกำลังกายทุกวัน คือทำท่าตามกายภาพบำบัดที่หมอแนะนำและเดินออกกำลังกาย โชคดีที่บ้านพี่สาวที่ผมพักฟื้นมันมันเรียวยาวคล้ายริบบิ้น มีทางยาวให้เดินออกกำลังกายทั้งในบ้านและลานต้นไม้หลังบ้าน ตอนแรก ๆ ผมก็เดินเฉย ๆ วันละประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ต่อมาจนถึงวันนี้ผมเสริมแรงให้เป็นการเดินจงกรมด้วย เมื่อเท้าซ้ายทาบพื้นก็นึกคำในใจว่า "พุท", เมื่อเท้าขวาทาบพื้นก็นึกคำในใจว่า "โธ" เดินไปกลับอย่างนี้ตลอดเวลา 60 นาที ใช้มือถือตั้งเวลาหมดโดยไม่ดูนาฬิกา ฝึกเดินอย่างนี้ได้หลายวันแล้ว ร่างกายดีขึ้น วางเท้าตอนเดินได้มั่นคงขึ้น พูดง่าย ๆ ว่าแข็งแรงขึ้น
แต่ถ้าถามว่าด้านจิตใจล่ะมีอะไรต่างมั้ย? ผมยังตอบได้ไม่ชัดเจน แต่สามารถตอบได้ลาง ๆ ว่า ผมน่าจะมีสติมากขึ้น ตอนก้าวเท้าก็มีสติมากขึ้น ตอนใช้มือหยิบสิ่งของหรือทำงานเล็ก ๆ น้อยก็มีสติมากขึ้น สำหรับเรื่องพูดก็ยั้งใจมากขึ้นก่อนพูด และขณะกำลังพูดก็พยายามมีสติพูดให้ช้าลง-น้อยลง-หรือเงียบถ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ นี่เป็นของดีที่ได้รับแต่ยังได้ไม่มาก เพราะยังฝึกน้อย
ถ้าผมไม่ลืม ผมจะพยายามปรับคำสอนของหลวงพ่อชามาใช้ในการฝึกเดินจงกรม คือขณะที่เดินให้นึกจินตนาการว่า เรากำลังเดินจงกรมอยู่คนเดียวในป่าที่โปร่ง โล่ง และเงียบสงบ โลกทั้งโลกหยุดนิ่ง สิ่งที่เคลื่อนไหวมีเพียงเท้าซ้าย-เท้าขวาของเราที่สัมผัสพื้นทีละก้าว เมื่อก้าวเท้าซ้ายสติทั้งหมดก็อยู่ที่เท้าซายเท้านี้ เมื่อก้าวเท้าขวาสติทั้งหมดก็อยู่ที่เท้าขวาเท้านี้ ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่ก้าว ๆ เดียว คือก้าวที่กำลังก้าว โลกหยุดนิ่ง, ชีวิตหยุดนิ่ง และเวลาก็หยุดนิ่ง ไม่มีอดีต-เมื่อวานนี้-หรือชาติที่แล้ว และก็ไม่มีอนาคต-พรุ่งนี้-หรือชาติหน้า แต่ถ้าสติลอยไหลไปที่อื่นไม่อยู่ที่เท้า ก็พยายามดึงมันกลับมา ไม่ต่อว่าตัวเองหรือเสียใจที่ไร้สติ แต่ยิ้มในใจและเดินต่อ
ผมตั้งใจว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะผนวกการเดินจงกรมเป็นกิจวัตรประจำวันของชีวิตที่ขาดไม่ได้ เป็นกิจกรรมออกกำลังกายและออกกำลังใจไปพร้อมกัน
【3】ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอก กับการเดินจงกรม
เวลานี้ผมเป็นข้าราชการบำนาญรัฐเลี้ยงและไม่ต้องทำงานหาเงินแล้ว และก็ไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษเพื่อชิงทุนไปเมืองนอกอีกแล้ว แต่ผมขอเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การฟังภาษาอังกฤษ หรือ Listening ซึ่งแม้ไม่ใช่แต่มันก็คล้าย ๆ กับการเตรียมตัวไปสอบ Listening เพื่อชิงทุนไปเมืองนอกตอนที่ยังทำงาน
ก็คือว่า งานประจำชิ้นที่ 2 ที่ผมทำมากว่า 10 ปีแล้ว คือเขียนบทความและหาเรื่องสอนภาษาอังกฤษลงเว็บยังไม่เลิก(และก็ไม่คิดจะเลิกถ้าร่างกายอำนวย) และแทบทุกวันการอ่านและฟังภาษาอังกฤษจึงเป็น " a must " ของผม เพราะถ้าไม่อ่าน-ไม่ฟัง ก็ไม่มีเรื่องดี ๆ มาเสนอท่านผู้อ่าน ผมสังเกตว่า หลังจากฝึกเดินจงกรมวันละ 1 ชั่วโมงมาได้หลายวัน ผมมีสมาธิมากขึ้นในการอ่านและฟังภาษาอังกฤษ คือขณะที่อ่านจิตใจของผมสามารถจดจ่อได้มากขึ้นกับ 1 ประโยคที่กำลังอ่าน ซึ่งช่วยให้อ่านได้รู้เรื่องมากขึ้น-เร็วขึ้น ภาวะนี้เป็นได้โดยไม่ต้องออกแรงบังคับตัวเอง
แต่ที่น่าพอใจมาก ๆ ก็คือการฟังหรือ Listening ผมมีสมาธิมากขึ้นกับประโยคที่กำลังฟัง ซึ่งก็แน่นอน ช่วยให้ผมฟังได้รู้เรื่องมากขึ้น และที่น่าพอใจมากไปกว่านี้ก็คือ ช่วยให้จับได้มากขึ้นว่าตรงไหนที่ฟังไม่รู้เรื่อง ก่อนหน้านี้ตอนฟังไม่รู้เรื่องก็มักไม่รู้เรื่องทั้งหมด ซึ่งไม่จริง เพราะทั้งท่อนหลายประโยคที่ไม่รู้เรื่องนั้น มันมีบางประโยคที่ฟังรู้เรื่อง แต่เมื่อสมาธิคลอนแคลน จึงพาลให้ฟังไม่รู้เรื่องแทบจะทุกประโยค
สิ่งที่ผมเล่านี้ไม่มีอะไรใหม่ เพราะมันคือ 1 ใน 4 ข้อของอิทธิบาทสี่ที่พระพุทธเจ้าสอน คือ (1)ฉันทะ - รักในงานที่ "กำลัง" ทำ (2) วิริยะ - ขยันและอดทนในงานที่ "กำลัง" ทำ (3) จิตตะ - มีสมาธิในงานที่ "กำลัง" ทำ และ (4) วิมังสา - ใช้ปัญญามองให้รอบเพื่อปรับปรุงแก้ไขงานที่ "กำลัง" ทำ
ทั้งสี่ข้อนี้ผู้หวังความสำเร็จต้องมีครบ แต่ที่ผมนำเรื่องนี้มาพูดก็เพราะดูเหมือนว่าเรื่องสมาธิในการฝึกให้เก่งอังกฤษมีคนสนใจน้อยมาก แทบทุกคนเมื่อถูกถามจะตอบว่าชอบอังกฤษ(มีฉันทะ), แต่ชอบแล้วก็ต้องขยันด้วย(มีวิริยะ), เมื่อขยันก็ต้องขยันอย่างคนฉลาด(มีวิมังสา), แต่เท่าที่ผมสังเกต โรคสมาธิจางในการเรียนอังกฤษคนไทยเป็นกันมากทั้งผู้ใหญ่และเด็ก(ไม่มีจิตตะ) อิทธิบาทที่ใช้งานได้นั้นเหมือนโต๊ะที่มีครบ 4 ขา เมื่อขาที่สามคือสมาธิหักหรือโยกก็ต้องซ่อมให้แข็งแรง .... แข็งแรงให้เท่า ๆ กับอีก 3 ขา
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
ฝึกอ่าน simple sentence เป็นประจำช่วยให้พูดอังกฤษเก่งขึ้น (ขอยืนยัน)
ภาษาอังกฤษ มีประโยคพื้นฐานอยู่ 4 ชนิด
[1] Simple Sentence คือ ประโยคความเดียว
- เช่น Somsak reads Thai Rath. (สมศักดิ์อ่านไทยรัฐ)
[2] Compound Sentence คือ ประโยคความรวม
- เช่น Somsak reads Thai Rath, but John reads Bangkok Post. (สมศักดิ์อ่านไทยรัฐ แต่จอห์นอ่านบางกอกโพสต์)
[3] Complex Sentence คือ ประโยคความซ้อน
- เช่น Somsak who is John's friend reads Thai Rath. (สมศักดิ์ผู้เป็นเพื่อนของจอห์นอ่านไทยรัฐ)
[4] Compound-Complex Sentence คือ ประโยคความผสม
- เช่น John who is Somsak's friend, and Mark who is my friend, read Bangkok Post because they cannot read Thai language. (จอห์นผู้เป็นเพื่อนของสมศักดิ์ และมาร์กผู้เป็นเพื่อนของฉัน อ่านบางกอกโพสต์ เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถอ่านภาษาไทย)
จากตัวอย่างข้างบนนี้ เห็นได้ชัดว่า ข้อ [1] Simple Sentence หรือ ประโยคความเดียว อ่านง่ายที่สุด ส่วนประโยคชนิดอื่นตามข้อ [2], [3], และ [4] จะซับซ้อนขึ้นตามลำดับ ยิ่งถ้ามีส่วนขยายเยอะ ๆ เต็มไปหมด (เช่น บทความข่าวในเว็บหนังสือพิมพ์) บางทีอ่านแทบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าอะไรขยายอะไร
สำหรับตำราที่โรงเรียนจัดให้คนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษฝึกอ่าน มักเน้น simple sentence และเมื่อเรียนชั้นสูงขึ้นก็จะเพิ่มประโยคชนิดที่ [2], [3], และ [4] มากขึ้นตามลำดับ
คนที่อ่าน Simple Sentence หรือ ประโยคความเดียว ได้คล่องแคล่วชำนาญ ก็จะอ่านประโยคความรวม, ประโยคความซ้อน, และ ประโยคความผสม เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะมันก็ต่อยอดมาจากประโยคความเดียวนั่นแหละ
นั่นคือเรื่องของการอ่าน
และเรื่องของการพูด มันก็ทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคนไทย ตอนแรกก็พูดง่าย ๆ เป็นประโยคความเดียวก่อน เมื่อฝึกพูดไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถพูดได้ยาวขึ้น ซับซ้อนขึ้น เช่น มี ...และ..., ... หรือ..., ....แต่..., ...เพราะว่า...., ...ที่...., ...ซึ่ง..., ...อัน.... เพิ่มเข้าไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องผ่านการฝึกอ่านทุกวัน เหมือนที่เขาพูดว่า Practice makes perfect. เพราะว่าทักษะนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือแค่เข้าใจทฤษฎี แต่ต้องผ่านการฝึก... ฝึก... และฝึก.... ฝึกอ่านภาษาอังกฤษทุกวัน !!!
แต่จะอ่านอะไรล่ะ ?
ในเว็บ e4thai.com นี้ ผมได้แนะนำลิงก์อ่านภาษาอังกฤษง่าย ๆ ซึ่งเป็น ข่าว, story และ บทความ
ที่นี่ ==> https://tinyurl.com/yybhp74x
แต่ดูแล้วมันก็อาจจะยากเกินไปหน่อยสำหรับคนที่พื้นไม่แข็งแรง ผมจึงขอเสนอเนื้อหาที่มันมีแต่ Simple Sentence หรือประโยคความเดียว ล้วน ๆ หรือเยอะ ๆ ๆ ๆ ไม่ต้องมีประโยคประเภทอื่นที่ยากปะปน(มากนัก) โดยผมเชื่อว่า ประโยคพวกนี้ถ้าท่านคุ้นเคยกับมันจนสนิทสนม มันจะช่วยให้ท่านพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากขึ้นแน่ ๆ
ไปที่นี่ครับ
【1】ฝึกอ่านประโยคความเดียว ซึ่งมีอยู่ 5 แบบย่อย (อ่านคำอธิบายเพิ่มเติม)
==> http://www.manythings.org/rs/
【2】Story เกือบ 2,000 เรื่อง
==> https://tinyurl.com/yxwucogf
【3】ดาวน์โหลดหนังสืออ่านนอกเวลา 240 เล่ม
เริ่มที่ระดับ Easystarts หรือ Level 1 หรือ 2
==> https://tinyurl.com/hnn8r8y
หน้าที่ของผมในการแนะนำคงจะหมดแค่นี้ ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของท่านแหละครับที่ต้องฝึก... ฝึก... และฝึก.... ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
แถม คลิป บทสนทนาภาษาอังกฤษ ที่ (ส่วนใหญ่) เป็น simple sentence :
【1】==> https://www.youtube.com/watch?v=zVH_F8cqxLU
【2】==> ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับ Very Short Conversations | Easy English Conversation Practice
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
Tip ในการพูดภาษาอังกฤษ แต่นึกศัพท์ไม่ออก
ทุกวันนี้ มีหลายเว็บไทย สอนคำศัพท์ วลี สำนวน ประโยค ฯลฯ ภาษาอังกฤษพร้อมบอกคำแปลที่ผู้เรียนสามารถจดจำนำไปใช้พูดได้ทันที ซึ่งมีประโยชน์มาก และคุณครูที่ทำคลิปอธิบายเรื่องนี้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นอาจารย์อดัม แบรดชอว์ ซึ่งน่าขอบคุณมาก ๆ เพราะท่านอธิบายง่าย ๆ ให้ตัวอย่างชัดเจน และฝึกออกเสียงหรือพูดตามได้ทันที ยิ่งฝึกและจำได้มากเท่าไหร่ก็มีประโยชน์มากเท่านั้น เพราะสำนวนที่ท่านสอนนั้นฝรั่งเขาใช้พูดกันจริง ๆ บางสำนวนภาษาอังกฤษและไทยไปด้วยกันได้ คือเห็นภาษาอังกฤษก็พอเดาไปถึงภาษาไทยได้ แต่บางสำนวนอาจารย์ก็จะหาหรือให้ประโยคง่าย ๆ หลาย ๆ ประะโยค ให้ผู้เรียนจดจำไปใช้พูด ผมเชื่อว่า ถ้าท่านสามารถนำสำนวนพวกนี้ไปพูดได้มากเท่าไหร่ ฝรั่งก็จะรู้สึกทึ่งท่านมากเท่านั้น คือทึ่งว่าท่านพูดอังกฤษเก่ง
==> https://tinyurl.com/y2cg83k4
==> https://tinyurl.com/yy5qp7p8
==> https://tinyurl.com/y25po9ma
แต่คำถามที่ผมนึกได้ตอนนี้ก็คือ ถ้าเมื่อถึงเวลาพูดแต่นึกไม่ออกล่ะ จะทำยังไง ? เราจะพูดอะไรออกไปเพื่อใช้สื่อข้อความตามสำนวนที่เราจำไม่ได้
ผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักนิดนะครับในการแก้ปัญหานี้
【ข้อที่ 1】 - ท่านไม่ต้องกังวลมากมายเกินไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูดอย่าง " ไม่เป็นทางการ " หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องเคร่งพิธีรีตอง เพราะว่านอกจากคำพูดที่เราพูดออกไป คนฟังยังสามารถเข้าใจเนื้อหาที่พูดคุยผ่านสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงของเรา หรือวัตถุ อุปกรณ์ สิ่งของ ตรงนั้น ก็ช่วยให้คนฟังเข้าใจมากขึ้น ไม่ใช่ว่าต้องฟังเราพูด 100 % จึงเข้าใจ
【ข้อที่ 2】- มีวิธีที่พอจะช่วยให้พูดได้ไม่จนแต้มเรื่องคำศัพท์
- ใช้ศัพท์ทั่วไป แทนศัพท์ยากหรือศัพท์ที่เจาะจงใช้ศัพท์สั้น ๆ แทนศัพท์ยาว
- สรุปเรื่องที่ยืดยาวซับซ้อนที่จะเล่า ให้เป็นคำพูดสั้น ๆ, ตัดรายละเอียดทิ้งไปก่อน, เรียงลำดับก่อน-หลัง ให้เหมาะ, แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ ให้เขาฟัง
【ข้อที่ 3】 - ศัพท์สั้น ๆ พวกนี้ ใช้พูดได้ง่าย ๆ แทนคำบอกเล่ายาว ๆ ช่วยให้ไม่ต้องพูดมาก
- - this, these, that, those
- - ใช้เรียกสิ่งนี้ สิ่งนั้น แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องพูดยาว ๆ ว่า thing หรือ object
- - ใช้คำสั้น ๆ คือ now (ตอนนี้), then (ตอนนั้น) ระบุถึงกาลเวลาแบบรวม ๆ ในปัจจุบันหรืออนาคต
- - ส่วนคำที่ระบุสถานที่ ก็ใช้ here (ที่นี่) หรือ there (ที่นั่น)
【ข้อที่ 4】 - แยกคำศัพท์ หรือกลุ่มคำศัพท์ ที่ราจะพูด ออกเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่ง 3 กลุ่มใหญ่แรก ก็คือ
- คำนาม หรือกลุ่มคำนาม (noun)
- คำกริยา หรือกลุ่มคำกริยา (verb)
- คำคุณศัพท์ หรือ กลุ่มคำคุณศัพท์ (adjective)
- คำกริยาวิเศษณ์ หรือกลุ่มคำกริยาวิเศษณ์ (adverb)
【ข้อที่ 5】 - ทำไมต้องแบ่งประโยคเป็นส่วน ๆ และวิธีง่าย ๆ ในการแบ่ง
ถ้าข้อความที่จะพูดมันเป็นศัพท์หรือวลีสั้น ๆ ที่เรารู้จักอยู่แล้ว เราก็พูดออกไปได้เลย แต่ถ้ามันเป็นข้อความยาว ๆ หรือซับซ้อน ต้องใช้ประโยคยาว ๆ หรือหลายประโยคอธิบาย บางทีเราก็งงว่า จะพูดยังไงดีนะให้เขาเข้าใจได้ง่าย ๆ
ขอให้ท่านสังเกตอย่างนี้ครับ แม้ข้อความที่จะพูดนั้นยาว แต่โดยพื้นฐานแล้ว แต่ละประโยคที่จะพูด มันก็คือ ประธาน + กริยา + กรรม แต่ความลำบากก็คือ เพราะมีส่วนขยายหรือเรื่องต้องบอกเยอะ ทั้งประธาน / กริยา / กรรม จึงมักเป็นกลุ่มคำ บางทีมากกว่า 10 คำ หน้าที่ของเราก็คือ หาคำสั้น ๆ มาใช้พูดแทน noun, verb, adjective หรือ adverb ที่ทำหน้าที่เป็น subject (ประธาน), verb (กริยา) หรือ object (กรรม)
หลักที่ผมขอแนะนำก็คือ " สรุปเรื่องที่ยืดยาวซับซ้อนที่จะเล่า ให้เป็นคำพูดสั้น ๆ, ตัดรายละเอียดทิ้งไปก่อน, เรียงลำดับก่อน-หลัง ให้เหมาะ, แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ ให้เขาฟัง " โดยหาภาษาอังกฤษสั้น ๆ ง่าย ๆ มาเล่าเรื่องที่ยาว ๆ
แต่จะเล่ายังไงล่ะ ? จริง ๆ ก็เล่าได้หลายแบบตามถนัดของแต่ละคน โดยอาจจะใช้แค่ 3 - 4 ประโยคก็พอ แต่การจะทำได้อย่างนี้ต้องใช้ความสามารถส่วนตัวในการสรุปความ, จับประเด็นสำคัญ, และเรียงลำดับการพูดก่อน-หลังให้เหมาะสม เป็นทักษะที่ต้องฝึกอยู่เหมือนกัน, พอทำได้แล้วจึงค่อยแปลมันเป็นภาษาอังกฤษ
【ข้อที่ 6】 : สะสม / จดจำ คำศัพท์พื้นฐาน ที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือ antonym เช่น ที่นี่
- adjective ความหมายตรงกันข้าม 40 คู่ พร้อมคำแปลไทย
- "คำตรงข้าม" 300 คู่ ตั้งแต่ A-Z พร้อมคำแปลไทย
- 550 คู่ คำศัพท์ ความหมายตรงกันข้าม
ศัพท์ใน list พวกนี้ หลายคู่น่าสนใจและมีประโยชน์มาก ๆ เพราะเรานำมาใช้พูดได้หลายกรณี
ยกตัวอย่างคำ adjective ที่ใช้บอกคุณลักษณะของคำนาม (noun) ซึ่งเป็น คน-สัตว์-สิ่งของ-เรื่องราว ฯลฯ
- บอกอารมณ์/ความรู้สึก : happy - sad สุข - เศร้า
- บอกเรื่องราว/กรณี/ ฯลฯ : hard, difficult - easy ยาก - ง่าย
- บอกผิด/ถูก : right - wrong ผิด - ถูก
- บอกขนาด : big - small ใหญ่ - เล็ก
- บอกระยะทาง : near - far ใกล้ - ไกล
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เราจะพูดว่าเขารู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น รู้สึกในด้านบวก ก็อาจจะมีคำพวกนี้ผุดขึ้นในใจมากมาย (เช่น ยินดี, เป็นสุข, สุขใจ, สบายใจ, เบิกบาน, เริงร่า, ระรื่น, สำราญใจ, ปีติ, ชื่นชม ฯลฯ) หรือเป็นคำในเนื้อข่าว เราไม่ต้องไปเปิดดิกหรือคิดมาก พูดคำง่าย ๆ ออกไปเลยว่า happy ก็ใช้ได้
หรือคำที่เป็นความรู้สึกในด้านลบ เช่น เสียใจ, ระทด, รันทด, ตรอมใจ, โทมนัส, ระทวย, อับเฉา, เจ้าทุกข์, เศร้าใจ, โศกเศร้า, ไม่ผ่องใส, น่าหดหู่, เศร้าซึม ฯลฯ เราใช้คำว่า sad พูดออกไปเลยก็ได้
หรือคำที่บอกเรื่องราว/กรณี ว่า ยาก, ลำบาก, กร้าว, ขัดสน, มีอุปสรรค, ยากเข็ญ, หรือ ยุ่งยาก เราก็บอกไปเลยว่า มัน difficult และคำนี้สามารถใช้บอกทั้งเรื่องราวที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ และที่เป็นนามธรรมความรู้สึกจับต้องไม่ได้
หรือคำกริยา (verb) ก็ในทำนองเดียวกัน เช่น คำว่า ก้าวหน้า, เกิดขึ้น, ขยาย, ขึ้น, งอกขึ้น, งอกงาม, งอกเงย, เจริญ, เจริญงอกงาม, เจริญวัย, เติบโต, เติบใหญ่, ทวี, แผ่ขยาย, พัฒนา, เพิ่ม, เพิ่มพูน ฯลฯ เราถนัดหรือชอบคำใดง่าย ๆ ที่รู้จักอยู่แล้ว ก็หยิบมาใช้ได้เลย เช่น increase หรือ grow ไม่ต้องไปคิดมากว่า มันจะตรงกับความหมายนั้นเด๊ะ ๆ หรือเปล่า คือถ้าสามารถสื่อไปในแนวนั้นได้ ก็ใช้ได้
หรือคำนาม (noun) ทั่วไปที่มีคำแปลให้เลือกหลาย ๆ คำ เช่น สิ่ง, สิ่งของ, ข้อเท็จจริง, เนื้อความ, เรื่อง, เรื่องราวเหตุการณ์, วัตถุ, วัสดุ เราใช้คำว่า thing หรือ เมื่อพูดไปเรื่อย ๆ ก็ใช้สรรพนาม it เรียกมันก็ได้
แต่ noun ที่มีปัญหาคือบางตัวที่ความหมายเจาะจง เช่น สนามบิน คือคำว่า airport (และคำอื่น ๆ เช่น landing field, airfield, aerodrome, airdrome ) ถ้าเราไม่รู้จัก นึกไม่ออก หรือลืมไปแล้ว และะในระหว่างพูดจะต้องมีคำนี้ เราจะทำยังไง ? เช่น He will go to meet her at the airport tomorrow.
ปัญหานี้แก้ได้ยากอยู่เหมือนกัน ก็ต้องถูไถขยับขยายกันไปตามหน้างาน เช่น ก็พูดคำว่า สุวรรณภูมิ ออกไป ให้เขาเดาเอาเองว่า เราหมายถึงสนามบินแห่งนั้น
หรือบางทีการพูดทับศัพท์ออกไปเลยก็อาจจะพอใช้ได้ แต่เราต้องเสริมด้วยคำง่าย ๆ อีกสักหน่อย อย่างเช่น ขณะกำลังนั่งกินกันที่โต๊ะอาหาร และมีแกงไตปลาของทางใต้ เราก็บอกไปเลยว่า " This is แกงไตปลา " เราไม่ต้องนึกให้เหนื่อยหรอกว่า แกงนี่ภาษาอังกฤษว่ายังไง ไตล่ะ ปลานี่ก็ fish แล้ว แกงไตปลา นี่มัน fish อะไรนะ เราใส่ไปง่าย ๆ เลยว่า This is hot, very hot, from south of Thailand, it's from fish. การพูดถูไถอย่างนี้แล้วแต่ลูกเล่นของใครของมันครับ แต่ก็อย่างที่ผมพูดแล้ว เมื่อบวกกับการใช้สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และสิ่งของประกอบในที่นั้น การพูดคุยก็ทำได้แทบทุกเรื่อง
【ข้อที่ 7】 ทำ " คำศัพท์ที่ฉันต้องรู้ "
แต่ถึงยังไง ถ้าเข้าที่คับขันจริง ๆ ลูกเล่นพวกนี้ก็ไม่พอใช้งานหรอกครับ ผมคิดดูแล้ว ถ้าเราต้องการพูดได้อย่างพัฒนา เราหนี " การบ้าน " ไม่พ้นหรอกครับ ซึ่งก็คือ การสำรวจศัพท์หมวดที่เราควรรู้ เพราะมันต้องใช้ แต่เพื่อไม่ให้งานหนักเกิน ก็ให้เข้าไปไล่คำพวกนั้นและดึงจดใส่สมุดโน้ตส่วนตัว " คำศัพท์ที่ฉันต้องรู้ "
เรื่องของเรื่องก็คือ ศัพท์หมวดที่แต่ละคนต้องใช้ และคำในหมวดนั้น ๆ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องหาเอาเอง
การ Search ก็ไม่ยาก (ถ้ามันมีอยู่ในเน็ตให้อ่าน ฟรี ) เพียงพิมพ์คำค้นทำนองนี้ เช่น
- ศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับคนขายของที่ระลึก
- ศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับคนขับรถรับจ้าง
- ศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานเสิร์ฟอาหาร
- ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการขายกาแฟ
- ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาชีพ
ข้อสังเกตของผมก็คือ คำศัพท์, วลี หรือประโยคสนทนาพวกนี้ ยิ่งเป็นเรื่องเจาะจงมากเท่าไหร่ ในเน็ตยิ่งมีน้อยหรือหายากมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านอาจจะต้องไปหาจากหมวดใกล้เคียง และดึงมารวบรวมเพื่อทำเป็น list ของตัวเอง
และผมไปเจอลิงก์ข้างล่างนี้ มีคำศัพท์อังกฤษแปลไทยหลายหมวด นำมาฝาเผื่อท่านจะใช้ได้บ้าง
- ศัพท์ ๔๘ หมวด รวบรวมจากดิกชันนารี สอ เสถบุตร
- https://th.speaklanguages.com/อังกฤษ/คำศัพท์
- https://teen.mthai.com/education/107084.html
- รวมศัพท์หมวดที่น่าสนใจมากมายที่นี่ (เว็บภาษาอังกฤษ)
สรุปก็คือ การบ้านชิ้นนี้ต้องทำ หรือรวบรวมคำศัพท์ อังกฤษ - ไทย ที่คิดว่าตนเองมีโอกาสใช้พูดเรื่อย ๆ และถ้าจะให้วิเศษ ควรแยกออกเป็น 3 ประเภท คือ คำกริยา - verb, คำคุณศัพท์หรือคำขยาย - adjective และคำนาม - noun การแยกเช่นนี้ช่วยให้เรามองเห็นล่วงหน้าคร่าว ๆ ว่า เราจะพูดอะไรในสถานการณ์ไหน เช่น เมื่อเราจะรวบรวมคำกริยา เราก็ต้องนึกภาพก่อน เช่น (1) เราพูดกับใคร (2)พูดเรื่องอะไร (3)พูดที่ไหน เป็นต้น
【ข้อที่ 8】 ยกตัวอย่างง่าย ๆ ขึ้นมาประกอบการสื่อความ
เรื่องนี้พูดง่ายแต่อาจจะทำยากนิดหน่อย เพราะต้องแปลไทยเป็นไทยและใช้จินตนาการอยู่บ้าง เช่น คำศัพท์หรือวลีข้างล่างนี้ ถ้าต้องพูดแบบไม่เป็นทางการกับเพื่อน ท่านจะสื่อความยังไง (ข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างของ อ.อดัม)
พูดถึงการกระทำ หรือพฤติกรรม ซึ่งเป็น verb เช่น
- ตบหัวแล้วลูบหลัง ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
- ทวงบุญคุณ ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
- ทำใจ ตัดใจ หักห้ามใจ ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร
- ติเพื่อก่อ ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
พูดถึงลักษณะ ซึ่งเป็น adjective เช่น
- ขี้เก๊ก ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
- ปอดแหก ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
- ใจสปอร์ต ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
- ถ่ายรูปขึ้นกล้อง ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
เป็น noun ซึ่งก็คือ คำที่เป็น คน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งรวมถึงนามธรรมสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น
- เด็กเส้น ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
----
จากที่พูดมาทั้งหมดนี้เห็นได้ว่า ถ้ามองในแง่ร้าย การพูดออกไปโดยไม่กลัวผิดทั้ง ๆ ที่พื้นไม่แน่น อ่อนทั้งเรื่องศัพท์-การผูกประโยค-การออกเสียง-ฯลฯ แต่ใช้วิธีโยงซ้ายมาแปะขวา โยงหน้ามาแปะหลัง ดึงข้างบนลงมาอุดข้างล่าง ดึงข้างล่างขึ้นไปอุดข้างบน และก็พูดผิด ๆ ถูก ๆ แบบครูดพื้นไปตลอดทาง การพูดจริง ๆ แบบไม่เป็นทางการ หรือการฝึกพูดแบบนี้ น่าจะไม่ค่อยเข้าท่า
แต่ผมขอยืนยันว่า วิธีฝึกพูดแบบนี้แหละครับที่เข้าท่าที่สุด ได้ผลที่สุด เพราะเป็นการฝึกจริง ใช้งานจริง เรียนรู้จากของจริง เจอ " ปัญหา " และ " ความผิดพลาด " ที่ตัวเองทำจริง ๆ และจะมีโอกาสแก้ไขหรือปรับปรุงได้เร็วที่สุด
คราวนี้มาถึงเรื่องสุดท้าย คือการลองฝึกพูด ซึ่งผมขอเสนอบทเรียน จากคลิปเรื่อง " ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร " โดย อาจารย์อดัม แบรดชอว์
==> คลิป " ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร "
เมื่อเข้าไปแล้วท่านจะเห็นคำถามลิงก์ละ 1 ข้อ (ตอนนี้อย่าเพิ่งคลิก) ให้ท่านนึกว่า ท่านกำลังนั่งคุย หรือนั่งกินอาการ หรือเดินทาง หรืออยู่ในห้องประชุมก็ได้ แต่มีบรรยากาศแบบไม่เป็นทางการ และอาจจะมีคนอื่นร่วมกลุ่มอยู่ด้วย ในขณะคุยกันนั้น มันมีเรื่องที่ท่านต้องพูดคำนี้ออกมา ถ้าท่านนึกออกก็พูดออกมาเลย แต่ถ้าท่านนึกไม่ออก ก็ให้พยายามพูดยังไงก็ได้ให้สื่อความหมายของศัพท์หรือวลีนี้ออกมาให้ได้ โดยใช้ " ทฤษฎี " ที่ผมเล่ามาตั้งแต่ต้น ซึ่งสรุปง่าย ๆ ก็มีแค่ 3 ข้อ คือ [1] แปลไทยเป็นไทย คือ ทำให้เป็นภาษาไทยที่สั้น ง่าย แต่ถ้าต้องพูดเสริมยาว ๆ เรื่อยเปื่อยออกไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร ดีเสียอีก ถ้ามันช่วยให้สื่อความได้ [2] แปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยถ้านึกศัพท์เจาะจงของมันไม่ออก ก็ใช้ศัพท์ทั่วไป [3] ใช้วิธียกตัวอย่างง่าย ๆ
ยกตัวอย่าง
[1] มีพิรุธ ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
http://www.ajarnadam.tv/blog/Shady-Dodgy-Gutted
สมมุติว่า ประโยคทีผุดขึ้นมาในใจที่ท่านจะพูด คือ " เขามีพิรุธ " ให้ท่านนึกถึงคนจริง ๆ หรือสถานการณ์จริง ๆ มันอาจจะออกมาง่าย ๆ ทำนองนี้
" Yesterday he said that. But today he says this. It's different. It's strange.
หรือ " She said she was ok. But she looks sad. She must have something. "
[2] ตบหัวแล้วลูบหลัง ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
สำนวนนี้ มักใช้ในเวลาที่บุคคลหนึ่งโดนทำร้าย ต่อว่าหรือทำโทษอย่างรุนแรงในตอนแรก แต่ในเวลาต่อมาผู้ทำโทษก็เข้ามาปลอบใจ ให้กำลังใจ หรือขอโทษในภายหลัง
ในภาษาอังกฤษก็มีศัพท์หรือวลีที่เทียบความหมายกันได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักล่ะ เราจะสื่อความหมายยังไงดี ?
อย่างเช่นเราจะเล่าข่าวชิ้นหนึ่งว่า " นายสมชายซึ่งเป็นเจ้านายด่านายสมศักดิ์ซึ่งเป็นลูกน้องกลางที่ประชุม หลังจากนั้นเรียกเข้าไปที่ห้องทำงานส่วนตัวและชมว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว อย่างนี้มันตบหัวแล้วลูบหลังชัด ๆ " เฉพาะวลี " อย่างนี้มันตบหัวแล้วลูบหลังชัด ๆ " ท่านจะพูดยังไง ถ้าท่านนึกวลีภาษาอังกฤษไม่ออก
อันที่จริงก็มีหลายวิธีที่จะสื่อ อย่างเช่น หลังจากเล่าเรื่องแล้วท่านอาจจะสรุปว่า
- For Thai people, we say this is " ตบหัวแล้วลูบหลัง " (คือทับศัพท์หรือทับวลีไปเลย)
- It's like this. (แล้วก็ออกท่าทาง โดยเอาฝ่ามือตบหัวตัวเอง แล้วพูด " You are very bad. "
- And afterward you told him " I know you are a good worker. " หรือ " I know you are good . " (พูดพร้อมออกท่าทาง เอาฝ่ามือลูบหลังเพื่อนที่นั่งใกล้ ๆ )
[3] เจ้ากี้เจ้าการ ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
มีวิธีที่อดีตหัวหน้าในที่ทำงานของผมใช้บ่อย ๆ เวลาที่พูดภาษาอังกฤษ คือเวลาที่แกนึกไม่ออกว่าจะอธิบายยังไงดี แกจะยกตัวอย่างโดยพูดว่า For example แทบทุกครั้ง และบ่อย ๆ ก็ตามด้วยการยกคำพูดผ่านปากของตัวละคร อย่างเช่น จะพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งว่าเป็นคน เจ้ากี้เจ้าการ ชอบบังคับหรือสั่งงานคนอื่น แกก็จะพูดออกมาในทำนองนี้
- For example, Mr. A .
- He is just my friend.
- But in the office, he tells me to do this, to do that all the time.
- I don't like it.
- He is เจ้ากี้เจ้าการ.
ผมขอยกตัวอย่างแค่นี้แล้วกันครับ แต่อยากขอให้ท่านลองเข้าไปฝึกกับวลีของอาจารย์อดัม โดยลองนึกพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วก็คลิกเข้าไปดูคลิปที่ อ. อดัมอธิบาย
==> https://tinyurl.com/y5n2dx2k
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา # 1
ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา # 1
ช่วงนี้ที่ผมไม่สบาย ก็เลยได้ใช้ชีวิตสบาย ๆ บ้าง
ลุกขึ้นตื่นแต่เช้าตรู่ ได้ยินเสียงความเงียบทีต่างจังหวัด
และคิดคำนึงเรื่องหนหลังของชีวิต
ตระหนักว่า ตนเองเคยทำอะไรผิดพลาดมาไม่น้อย
ที่ไม่ค่อยจะรู้ตัวก็เยอะ จึงนำมาแชร์ครับ
ดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บ e4thai ได้แล้วครับ ( 8 กุมภาพันธ์ 2562
โปรดทราบ
วันนี้ ดร. ประสาร คิดดี
[ https://www.facebook.com/kidprasarn ] Technical Webmaster คนเก่ง ของ e4thai.com ได้แก้ไขจนไฟล์ทั้งหลายที่หายไปจากเว็บ ตอนนี้กลับมาดาวน์โหลดได้ดังเดิมแล้ว แต่ก็อาจจะมีบางอย่างที่ยังติดขัดอยู่บ้าง ท่านใดเจอปัญหา ก็ช่วยแจ้งด้วยนะครับ
พิพัฒน์
More Articles...
- ฝึกแปลศัพท์ ไทย --> อังกฤษ เพื่อเป็นต้นทุนในการพูดและเขียน
- สั่งสอนตัวเองด้วยภาพเมื่อวัยยังแข็งแรง
- ฝึกให้เก่งอังกฤษเหมือนกินยาขม ไม่กินก็ไม่เก่ง
- ปีนถึงแน่ ๆ แม้จะเป็น The Great Hill
- วิธีง่าย ๆ หา eBook ฟรีจากเน็ต และวิธีเริ่มใช้ไม่เก็บเงียบ
- ฝึกภาษาอังกฤษกับช่อง BBC YouTube ดีแน่ ๆ
- วิธีฝึกแปลศัพท์+แปลประโยคพื้นฐาน จากไทยเป็นอังกฤษ เพื่อใช้พูดจริง ๆ
- อาการล่าสุดของโรคมะเร็งกระดูกในระบบเลือดของผม (22 มกราคม 2562)
- อาการล่าสุดของโรคมะเร็งกระดูกในระบบเลือดของผม (22 มกราคม 2562)
- ฝึก reading skill ด้วยการอ่าน world news จากหลาย ๆ สำนักข่าว
- พระมาโปรดถึงห้องนอน
- รายงานผลครับ ( 11 มกราคม 2562 )
- วันนี้อาการผมดีขึ้นมาก
- อัพเดทอาการเจ็บป่วยของพี่ตุ่น(พิพัฒน์)-3
- สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ ครับ พิพัฒน์
- The Nation อ่านง่ายกว่า Bangkok Post
- ขอเวลาแก้ปัญหาดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บ e4thai ไม่ได้
- ทรมานบรรยาย : ความเจ็บของคนเป็นมะเร็ง
- พิพัฒน์รายงานตัว
- อาการเจ็บป่วยของพี่ตุ่น(พิพัฒน์)