Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

สวัสดีปีใหม่ 2565

ปีใหม่ 2565 ขอให้แฟนเว็บ e4thai.com มีความสุข สมหวัง ทั้งกาย ใจ 

ผมได้นำบทความเกี่ยวกับปีใหม่ที่พี่ตุ่นได้เขียนไว้ สมัยเว็บ e4thai ยังเป็น blog อยู่

มาให้แฟนๆอ่าน พอให้หายคิดถึงพี่ตุ่นไปบ้าง เชิญอ่านได้ครับ

ประสาร

pipat micky mouse shirt 300

---------------------------------------------------------------------------

พี่ตุ่นเขียนไว้เมื่อ วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

---------------------------------------------------------------------------

สวัสดีครับ
ปีใหม่ 2552 นี้ผมก็จะมีอายุครบ 50 ปีแล้ว คำว่า “แก่” น่าจะเป็นคำที่พอจะเอามาใช้ได้ ในระยะหลัง ๆ นี้ คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง, คนขาย CD ที่ห้างพันทิพย์, พ่อค้าแม่ค้าขายอาหารตามถนนหนทาง และหมอที่โรงพยาบาล ใช้สรรพนามเรียกผมว่า “ลุง” มากขึ้น ผมรู้สึกว่าถ้าเขาเรียกว่า “น้า” น่าจะเหมาะสมมากกว่า แต่ถึงอย่างไรผมก็คงจะค้านสายตากรรมการไม่ได้ เมื่อส่วนใหญ่ตัดสินว่าผมถึงระดับ “ลุง” แล้ว ผมจะไปเกณฑ์ให้เขาเรียกว่าพี่ น้า อา ก็กระไรอยู่ สงสัยผมจะแก่ถึงระดับลุงจริง ๆ

ผมไม่ได้รังเกียจความแก่ เหมือนที่ผมไม่ได้รังเกียจมะม่วงสุก ชอบซะอีกด้วย ถ้าการทำให้ใครเกิดมาเป็นคนคือการขายสินค้า ผมก็เห็นว่าธรรมชาติเป็นพนักงานขายที่ดีมาก คือมีบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งานของสินค้า คนที่ถึงวัย “ลุง” และสินค้าเริ่มจะเสื่อมคุณภาพเพราะใช้งานมานาน ก็มีบริการซ่อมแซมหรือชดเชย เช่น ทำให้รู้จักคิดมากขึ้น ทำให้ใจเย็นขึ้น ทำให้รู้จักปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น ฯลฯ ยังคงทำอะไรต่ออะไรเหมือนเดิมแต่ด้วยใจที่ไม่เหมือนเดิมเพราะวันคืนที่ล่วงไปทำให้ใจเริ่ม “สุก” มากขึ้น มันไม่ต่างจากมะม่วงที่ผมเปรียบเทียบข้างต้น

แม้ว่าการคิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิตเป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่ผมเขียนเล่าไว้ใน เรื่องส่วนตัวที่ผมอยากเล่า แต่ความแก่ที่มาพร้อมกับความเสื่อมของสังขารทำให้ผมคิดถึงความสิ้นไปของสังขารบ่อยขึ้น และเริ่มคิดมากขึ้นว่าควรจะใช้ชีวิตที่เหลือนี้อย่างไรให้ดีที่สุด เมื่อเกจ์ที่หน้าปัดบอกว่าน้ำมันเหลือไม่ถึงครึ่งถัง มันก็เป็นธรรมดาที่ผมในฐานะคนขับต้องวางแผนว่าเส้นทางที่จะ “ท่องเที่ยว” ต่อไปก่อนที่น้ำมันจะหมดถังควรจะเป็นเส้นทางไหนดี รถชีวิตคันนี้ไม่มีปั๊มให้แวะเติมน้ำมันซะด้วยซี ขืนวิ่งสะเปะสะปะออกนอกเส้นทางบ่อย ๆ หรือวิ่งเร็วเกินไปเครื่องยนต์ก็จะกินน้ำมันมากโดยไม่จำเป็น สรุปก็คือด้วยวัย “ลุง” ขณะนี้ผมคิดถึงความตายบ่อยขึ้น ในขณะเดียวกันผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันไหน

ผมคงไม่ใช่คนเดียวที่ถามตัวเองด้วยคำถามทำนองนี้ คนเราเกิดมาทำไม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งใดที่มีคุณค่าสูงสุดในชีวิต ชีวิตที่ดีควรเป็นอย่างไร ฯลฯ ผมถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย และก็ถามตัวเองมาเรื่อย ๆ และก็พบคำตอบมาเรื่อย ๆ เช่นกัน เป็นคำตอบที่ผู้อื่น เช่น พระภิกษุที่ผมเคารพบูชาช่วยตอบให้ หรือเป็นคำตอบที่ผมตอบตัวเอง คำตอบเหล่านี้น่าพอใจ แต่ก็ไม่ทำให้ผมหยุดแสวงหาคำตอบ ยังสงสัยว่าทำไมผมจึงต้องถามตัวเองด้วยคำถามเดิม ๆ และก็มักจะได้คำตอบเดิม ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดถาม มันน่าจะเป็นเพราะว่า สิ่งที่รับคำตอบคือ “สมอง” ไม่ใช่ “ใจ” เมื่อผมสงสัย – ผมสงสัยด้วยใจ เมื่อได้รับคำตอบที่สมองพอใจ แต่ใจยังไม่พอใจ ใจจึงถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างนั้น

วันนี้ วันที่ถึงวัยใกล้น้ำมันหมดถัง รถชีวิตไม่รู้ว่าจะวิ่งไปได้อีกไกลแค่ไหน จะได้กินลมชมวิวแวะเที่ยวสถานที่ตามรายทางอีกสักกี่แห่ง รถจะเสียกลางทางวิ่งต่อไปไม่ได้แม้น้ำมันยังไม่หมด และจะซ่อมได้หรือเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลย แต่อย่างน้อย ณ วันนี้ ผมรู้แล้วว่า ชีวิตไม่ต้องการอะไร และชีวิตต้องการอะไร มันเป็นคำตอบที่ “ใจ” ได้รับ และทำให้รู้สึก “พอใจ” ในชีวิต

ในฐานะชาวไทยด้วยกัน และในฐานะคนเขียนบล็อก ขออนุญาตให้ผมเล่าสู่กันฟังเรื่องราวอื่น ๆ บ้างแล้วกันนะครับ นอกจากหน้าที่ ‘บ๋อยเสิร์ฟเว็บ’ ที่ทำอยู่ตามปกติ เรื่องที่จะเล่าเป็นคำตอบส่วนตัวที่ทำให้ผมรู้สึกพอใจในชีวิต ถ้าคำตอบนี้เป็นคำตอบของหลายท่านอยู่แล้วก็แสดงว่าผมมีเพื่อนร่วมเดินทางในเส้นทางของมนุษยชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่มากก็น้อย

สองคำถามข้างต้น คือ หนึ่ง ชีวิตไม่ต้องการอะไร และสอง ชีวิตต้องการอะไร ผมขอไล่ไปทีละคำถามนะครับ

ชีวิตไม่ต้องการอะไร? ท่านคงเคยเห็นตุ๊กตาจีนมงคลที่เรียกว่า ‘ฮก ลก ซิ่ว’ กันแล้วนะครับ ผู้รู้ ให้ความหมายของ ฮก ลก ซิ่ว’ ไว้ว่า
ฮก เทพแห่งบุญวาสนาและบารมี เพียบพร้อมด้วยบุตร หลาน ลักษณะชายวัยกลางคน หน้าตาอิ่มเอิบอุ้มเด็ก
ลก เทพแห่งลาภยศและความมั่นคั่งด้วยทรัพย์ ลักษณะชายวัย กลางคน สูงใหญ่ สง่างามแต่งกายด้วยเครื่องยศสูงสุด
ซิ่ว เทพแห่งอายุยืนยาว ลักษณะชายวัยชรามีหนวดเครายาว หน้าตาอิ่มเอิบยิ้มแย้มร่างกายอันแข็งแรงสมบูรณ์”
พูดอีกอย่างหนึ่ง ฮก ลก ซิ่ว’ คือ อำนาจ ทรัพย์ และสุขภาพ ซึ่งเป็น 3 สิ่งสุดปรารถนาของมนุษย์ ท่านจะเห็นตามคตินิยมของจีน ‘ฮก’ นั้นจะสวมหมวกยศของขุนนางจีน เพราะเป็นตำแหน่งของอำนาจ ส่วน ‘ลก’ นั้นดูเหมือนจะเป็นพ่อค้า ปัจจุบันน่าจะใช้คำว่า ‘นักธุรกิจ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทรัพย์สินเงินทองหรือความร่ำรวย และ ‘ซิ่ว’ เป็นรูปชายชรา หัวล้านและมีหนวดเคราขาวยาวแสดงถึงสุขภาพดีและอายุยืน ผมฟังความหมายของ ‘ฮก ลก ซิ่ว’ เช่นนี้มานานแล้ว และก็ถามตัวเองว่า มันคือสิ่งสูงสุดในชีวิตหรือเปล่า ถามไปถามมา ถามมาถามไปหลายรอบ – หลายสิบรอบ ก็ได้คำตอบว่า ถ้าฮกลกซิ่วมันผ่านเข้ามาในชีวิตผม หรือผมได้ทำสิ่งใดโดยสุจริตทำให้ตัวเองได้ฮกลกซิ่ว ผมก็จะรับมันไว้ แต่จะให้ผมใช้ชีวิตอย่างกระหืดกระหอบ อย่างสูญเสียความสุจริต และใช้เวลามากเกินพิกัดอันเหมาะสมเพื่อให้ได้ฮกลกซิ่วมาครอบครอง ผมไม่ลงทุนถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพราะแม้ว่าอำนาจและทรัพย์จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ชีวิต แต่ถ้าได้มาโดยทุจริต หรือต้องใช้เวลากับการแสวงหามันมากเกินไปจนไม่มีเวลาไปแสวงหาสิ่งอื่นที่สูงกว่า ฮกและลกก็ทำพิษให้ชีวิตได้ง่าย ๆ ส่วนซิ่วหรืออายุยืนและสุขภาพดี ซึ่งหมายถึงมีเวลาและสภาพร่างกายที่ช่วยให้เสวยสุขจากฮกและลกได้เนิ่นนาน นี่เป็นสิ่งที่ดีและไม่ควรปฏิเสธ แต่เราน่าจะมองให้สูงขึ้นไปกว่านี้ว่า เราน่าจะใช้ซิ่วคืออายุยืนและสุขภาพดีนี้ไปกับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ไม่ใช่ขลุกอยู่กับฮกและลกอย่างหน้ามืดตามัว

สรุปก็คือสำหรับผมแล้ว ‘ฮก ลก ซิ่ว’ หรือ ‘อำนาจ ทรัพย์ และสุขภาพดี’ เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกหรือเฟอนิเจอร์ของชีวิต แต่ไม่ใช่สิ่งสูงสุดในชีวิต และแม้จะหามาได้โดยสุจริต ก็ไม่ควรทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับมันจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นที่สูงกว่า ถ้าตอบคำถามข้างต้น ชีวิตไม่ต้องการอะไร? ก็ตอบว่า ชีวิตของผมไม่ต้องการฮกลกซิ่วที่เป็นอุปสรรคต่อการได้รับสิ่งที่สูงกว่าฮกลกซิ่ว

และอะไรอีกล่ะที่ชีวิตไม่ต้องการ? สมัยอยู่มหาวิทยาลัย เวลาที่อาจารย์ส่วนมากที่สุดจะพูดถึงความต้องการของมนุษย์ ผมเห็นอาจารย์นึกถึงอะไรกันไม่เป็นเลย นอกจากยกทฤษฎีความต้องการ 5 อย่าง ของ Maslow ขึ้นมาพูด สรุปก็คือ คนเรามีความต้องการจากต้นไปหาปลายอยู่ 5 อย่าง และต้องได้รับอย่างแรกก่อนจึงจะแสวงหาอย่างหลัง ความต้องการทั้ง 5 อย่าง คือ (1) ความต้องการทางกายภาพ เช่น อาหาร อากาศ น้ำ ที่อยู่อาศัย (2) ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในด้านต่าง ๆ ของชีวิต (3) ความต้องการความรักจากคนที่ติดต่อสัมพันธ์ด้วย เช่น ครอบครัว คู่ครอง เพื่อนฝูง (4) ความต้องการความรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองและการได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น และ (5) ความต้องการที่จะบรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตัวเองมี เช่น ความรู้ ศิลปะ การเข้าถึงความสงบทางใจ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ฯลฯ

ผมได้ฟังอาจารย์หลายคณะเล็กเชอร์เกี่ยวกับความต้องการ 5 ขั้นของมาสโลว์นี้บ่อยมาก และผมก็เห็นว่ามาสโลว์แกก็คงพูดไม่ผิดหรอก แต่มันมีอะไรที่สูงไปกว่านี้หรือเปล่า เพราะอย่างน้อยใน 4 ข้อแรกของแก คนกับสัตว์ก็ไม่ต่างกันเลย และคนเราเกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้นหรือ?

สรุปก็คือ ทั้งทฤษฎี ‘ฮก ลก ซิ่ว’ ของจีนซึ่งเป็นโลกตะวันออก และทฤษฎีบันได 5 ขั้นของมาสโลว์ซึ่งเป็นตัวแทนของโลกตะวันตก ไม่ได้ให้คำตอบอะไรแก่ชีวิตผมเลย หรือให้แต่ผมยังไม่รู้สึกพอใจ ผมยังรู้สึกอยู่เสมอว่า ชีวิตที่ดีควรมีอะไรที่ดีกว่านี้ สูงกว่านี้

และก็มาถึงคำถามที่สอง คือ ชีวิตต้องการอะไร? ผมเคยได้ยินคนจำนวนไม่น้อยที่นับถือพุทธศาสนาพูดในทำนองว่า คนเราเกิดมาแล้วควรทำบุญหรือทำความดีให้เยอะ ๆ พยายามทำความดีทุกวัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตถึงพรุ่งนี้ให้ได้ทำความดีอีกหรือเปล่า ความดีจะทำให้เราได้รับความสุขในชีวิตนี้และในชาติหน้าหลังจากตายไปแล้ว คำอธิบายหรือทฤษฎีทำนองนี้ดีกว่าทฤษฎีฮกลกซิ่วหรือทฤษฎีของมาสโลว์หลายสิบเท่า เพราะมันเท่ากับวางเป้าหมายของชีวิตไว้บนสิ่งที่ดีงาม และมีแต่คนเท่านั้นแหละครับที่มีความสามารถคิดถึงแต่สิ่งที่ดีงามอย่างนี้ได้ และความดีงามก็ทำให้ชีวิตมีความสุข สุขเพราะได้ทำให้คนอื่นมีความสุข ไม่ใช่สุขเพราะแสวงหาความสุขใส่ตัวเอง เป็นปีติสุขที่เกิดขึ้นมาในใจ

แต่ผมก็เห็นคนเป็นจำนวนมากที่แม้พยายามทำความดีแล้วก็ยังไม่มีความสุข พอมีเรื่องที่กระทบกระเทือนใจก็ยังเป็นทุกข์และ “ทำใจ” ไม่ได้ และดูเหมือนความดีทั้งหลายแหล่ที่เขาทำไว้ไม่สามารถเป็นปราการป้องกันความทุกข์ได้เลย นี่แสดงว่าการทำความดีไม่ได้ช่วยให้คนเราพบกับความสุขที่แท้จริงหรืออย่างไร?

ชีวิตของผมวนเวียนอยู่กับคำถาม – คำตอบ ดังกล่าวอยู่นานทีเดียว นานเท่าช่วงอายุการทำงานหลังจบจากมหาวิทยาลัยประมาณ 20 – 30 ปีก็ว่าได้ ถ้ามองย้อนหลังผมก็อยากจะสรุปว่า หนังสือที่เราอ่าน, ครูบาอาจารย์ที่เราได้ฟังธรรม, ผู้คนที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วย, สถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้ไปเยือน, และปัญหาอุปสรรค ความไม่ราบรื่นและไร้สาระทั้งหลายที่ได้ผ่านพบ ทำให้วันหนึ่งผมสะดุดขึ้นมาในใจถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่า การทำบุญ หรือ ‘บุญกิริยาวัตถุ’ มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1) ทาน – คือการให้
2) ศีล – การรักษาศีล และ
3) ภาวนา – คือการภาวนา หรือการดูแลรักษาใจให้สงบ

มันทำให้ผมนึกถึงศัพท์ภาษาอังกฤษ 3 คำขึ้นมาทันที คือ help, hurt, และ heart

Help – ให้วันหนึ่ง ๆ ได้ทำอะไรอย่างน้อย 1 อย่างที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ เราอาจจะทำอะไรปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่วันนี้เราจะทำอย่างตั้งใจให้เพื่อนมนุษย์โดยทั่วไปได้รับประโยชน์ ถ้าเราต้องตายในวันนี้อย่างศพไร้ญาติหรือซากศพสูญหาย ไม่มีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ก็ไม่มีอะไรให้เราต้องวิตกกังวล เพราะสิ่งดีที่เราทำเมื่อยังมีชีวิตมีมากพอโดยไม่ต้องรอบุญที่คนอื่นจะส่งไปให้

Hurt - อย่าให้เรามีชีวิตที่ hurt หรือทำร้ายผู้อื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายด้วยกาย (ฆ่า, ทำร้าย, โกง) ทำร้ายด้วยวาจา (พูดโกหก, ให้ร้าย, ติฉินนินทา) หรือทำร้ายด้วยใจ (โกรธ เกลียด พยาบาท อาฆาต อิจฉาริษยา) ถ้าเราต้องตายในวันนี้และนรกมีจริง เราก็ไม่กลัวจะตกนรก เพราะเราไม่ได้ทำอะไรในที่ซ่อนเร้นหรือเปิดเผย ที่ hurt หรือทำร้ายคนอื่น นรกจึงไม่ใช่ที่อยู่สำหรับเรา

Heart – รักษาใจตัวเองไว้ให้ดี เมื่อเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาในใจก็มีสติ และไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดนั้นทำร้ายใจ แต่มีสติรู้เท่าทันและปล่อยวาง รักษาใจให้อยู่ในสภาพดีดังเดิม

ผมจึงได้รู้สึกว่า คำสอนสามัญที่ผมได้ยินพระเทศน์ตั้งแต่วัยเด็ก คือ เรื่องทาน – help others, ศีล – do not hurt anyone, และ heart – take care of the heart คือคำตอบของชีวิตทุกชีวิต และข้อปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ต่างก็เอื้อเฟื้อเกื้อหนุนกัน ทำให้ชีวิตพบกับความดี ความงาม และความสุขที่แท้จริง คำสอนนี้มีวางอยู่แล้วข้างหน้า – แต่เรามองไม่เห็น, มีพระเทศน์ให้ฟังบ่อย ๆ – แต่เราไม่ได้ยิน ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะเรา ‘อยาก’ มากเกินไปจึงไม่พบคำตอบของชีวิต หรือหากพบก็อาจจะเป็นคำตอบลวง ๆที่เรายึดถือเป็นคำตอบจริง ๆ

ตามธรรมเนียมฝรั่ง พอถึงวันปีใหม่เขาจะมี New Year’s Resolution คือสัญญาที่เราให้ไว้กับตัวเองว่า เราจะ start doing something good และ stop doing something bad และแม้เราจะไม่ใช่ฝรั่งแต่เป็นชาวพุทธเคารพบูชาพระพุทธเจ้า ผมก็ขอชักชวนให้ท่านตั้ง New Year’s Resolution ที่จะ
help others– do not hurt anyone และ
-take care of the heart

ผมเชื่อว่าปีใหม่ของเราจะเป็นปีที่มีความหมาย ให้ความสุข ความดี และความงาม แก่ชีวิตของเรามากกว่าเดิม นี่เป็นของขวัญวันปีใหม่ที่เราทุกคนสามารถมอบให้แก่ตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วมันคือของขวัญวันปีใหม่ที่เราให้แก่ทุกคนที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วย

พิพัฒน์

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com