ถ้าต้องการฝึกเขียน ก็ต้องลงมือเขียนจริง ๆ
สวัสดีครับ
ผมไม่แน่ใจว่า ใน 4 ทักษะภาษาอังกฤษ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ทักษะใดเป็นทักษะที่คนไทยส่วนใหญ่อ่อนที่สุด แต่เดาว่า การเขียนน่าจะไม่ใช่ 2 ทักษะแรกที่คนไทยแข็งที่สุด
ในที่ทำงานของผม มีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถอ่านและพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ถ้าหาคนเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นงานเป็นการ ก็ต้องนึกหากันนิดหน่อย
ทำไมคนไทยไม่ชอบฝึกการเขียนภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าหลายคนเห็นว่า การเขียนเป็นเรื่องยาก คุณต้องมีเครื่องปรุง 2 อย่าง คือ 1)ศัพท์-สำนวน-วลี และ 2)การนำศัพท์-สำนวน-วลี มาปรุงเป็น ประโยค และข้อความ ให้สามารถสื่อสารได้รู้เรื่องและเหมาะสม
การเขียนเหมือนกับการพูดตรงที่ ต้องสื่อข้อความออกไปให้คนอ่านหรือคนฟังรู้เรื่อง แต่ต่างจากการพูดตรงที่ การพูดเมื่อพูดจบแล้วก็แล้วกัน พูดแล้วรู้เรื่องก็ถือว่าสมประสงค์ แต่การเขียนมันเหลือร่องรอยอยู่บนกระดาษ คนที่หวังดีหรือชอบจับผิดสามารถวิจารณ์ข้อเขียนได้ไม่รู้จบ หลายคนที่รู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ค่อยเก่ง” จึงไม่อยากเขียน
ผมมานั่งถามตัวเองว่า ทักษะภาษาอังกฤษที่ได้มาจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ทักษะใดดีที่สุดและแย่ที่สุด ก็ได้คำตอบว่า ดีที่สุดคืออ่าน แย่ที่สุดคือเขียน ส่วนฟังกับพูดสลับกันไป-มา ระหว่างที่ 2 กับที่ 3
ทำไมการเขียนจึงเป็นเรื่องที่ทำได้แย่ที่สุด ถ้อยคำต่อไปนี้ ผมอธิบายประสบการณ์ส่วนตัว แต่ถ้าท่านอ่านแล้วเห็นพ้องกันเยอะ ๆ มันก็จะขยายเป็นประสบการณ์ส่วนรวม
1) ผมได้รับการฝึก writing skill น้อยมากขณะเป็นนักเรียนนักศึกษา
2) exercise เกี่ยวกับ writing skill มักผูกรวมกับ grammar และเป็นลักษณะให้เลือกข้อ a,b,c,d หรือจับคู่ หรือหาคำหรือวลีมาเติมในช่องว่าง แทบไม่เคยถูกฝึกเป็นกิจจะลักษณะให้ลงมือเขียนเป็นประโยค ข้อความ หรือเรื่องราว จากง่ายไปยาก จากสั้นไปยาว อย่างจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกับการอ่าน
3) ผมเข้าใจว่า การตรวจงานเขียนของเด็กที่เป็น writing exercise ครูผู้สอนทำได้ยากกว่า การตรวจ grammar, vocabulary, reading comprehension ที่ให้เลือก a,b,c,d เพราะการตรวจเช่นนี้อาจจะต้องรวมไปถึงการแก้ไขสิ่งที่ผิดโดยบอกสิ่งที่ถูก ซึ่งอันนี้ยากและกินเวลา ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้ามีคนขอให้ผมตรวจข้อความภาษาอังกฤษที่แปลมาจากภาษาไทย บ่อยครั้งที่ผมนึกในใจว่า ถ้าให้ผมแปลเองจะง่ายกว่าเยอะ และใช้เวลาน้อยกว่าด้วย อาจารย์ที่ต้องตรวจ writing exercise ของเด็กก็อาจจะคล้าย ๆ อย่างนี้ นี่ผมเดาเอาเองนะครับ เพราะว่าไม่เคยเป็นครู
ถ้าท่านถามว่า แล้วผมฝึกการเขียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีใด ผมทบทวนตัวเองดูแล้ว น่าจะเป็นอย่างนี้
1) ถ้าไม่ได้ฝึกอ่านและฝึกวิเคราะห์โครงสร้างของประโยคมาเรื่อย ๆ ผมก็คงไม่ได้ซึมซับวิธีการเขียนเอามาเป็นของตัวเอง การฝึกอ่านและฝึกวิเคราะห์ดังกล่าวนี้ ต้องมากพอทั้งปริมาณและคุณภาพ เพราะฉะนั้นการอ่านและการสังเกตขณะที่อ่านจึงมีคุณูปการอย่างอนันต์ต่อการฝึกเขียน
2) เนื่องจากงานในที่ทำงาน ผมไม่ได้ต้องเขียนภาษาอังกฤษให้มีเนื้อหาเป็นทางการ หรือ official ทุกวัน แต่เมื่อมีงานเข้ามา ผมก็ถูกคาดหวังว่าต้องเขียนได้ ท่านลองคิดเอาแล้วกันครับว่า ใน 1 ปี 365 วัน ถ้ามีงานเขียน ประเภท official letter, official statement, หรือรายงานการประชุม หรือ project เพียง 1 – 2 งาน ทักษะการเขียนของท่านจะดีและอยู่ตัวได้อย่างไรกับโอกาสในการฝึกฝนที่น้อยนิดเช่นนี้ (เราต้องทำงานอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่ทำงานภาษาอังกฤษอย่างเดียว) ผมจึงแก้ด้วยการเขียนไดอะรี่เป็นภาษาอังกฤษทุกวัน อยากจะบอกความลับว่า การเขียนไดอะรี่นี่แหละครับ มีประโยชน์มหาศาลต่อทั้งการเขียนแลการพูด เพราะขณะที่นึกไม่ค่อยออกในการหาศัพท์ สำนวน วลี ประโยคเป็นภาษาอังกฤษ มันทำให้ท่านต้อง คิดและค้น และแม้จะช้าหน่อย แต่จนแล้วจนรอด ท่านก็จะสามารถเขียนออกไปได้ ในครั้งแรก ๆ อาจจะผิด ๆ พลาด ๆ เยิ่นเย้อ กำกวม ตกหล่น งุ่มง่าม ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย ขี้เกียจ รำคาญ และรู้สึกว่าไม่ได้อะไร แต่ถ้าอดทนฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น ทักษะที่เกิดขึ้นจะพอกพูนโดยไม่รู้ตัว เหมือนหยอดเหรียญใส่กระปุก ตราบใดที่กระปุกไปถูกทุบเสียก่อน ตังค์ต้องเต็มกระปุกแน่นอน
ถ้าท่านสงสัยแคลงใจว่า สิ่งที่ผมเขียนในข้อ 2)นี้มันทำได้จริงหรือ เพราะท่านไม่มีครูคอยตรวจบอกจุดที่ผิด และชี้ทางที่ถูก คำตอบของผมคือ
♦ a) ให้ท่านกลับไปอ่านข้อ 1)อีก 2-3 รอบ
♦ b) ท่านต้องมีคู่มือที่เป็นตัวช่วยเพื่อการให้การเขียนง่ายขึ้น สำหรับผมตัวช่วยมีดังนี้ครับ
- Top English Learner's Dictionaries
- Oxford Collocations Dictionary
คู่มือดังกล่าวนี้ จะต้องฝึกใช้ให้คล่อง
ท่านจะเห็นว่า ทั้งข้อ a) และ b) ล้วนต้องพึ่งตัวเองทั้งสิ้น เมื่อเราไม่มีทางเลือกอื่น นี่จึงเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ ถ้าเราไม่ยอมเลือกทางนี้ เราก็ต้องอยู่กับที่
กลับมาดูเนื้อหาในอินเทอร์เน็ตบ้าง ถ้าท่านพิมพ์หาเว็บที่ช่วยสอนการฝึกเขียนภาษาอังกฤษ ก็มีมากมายครับ ลองคลิกดูคำค้นข้างล่างนี้ก็ได้ครับ
english writing exercises คลิก
english writing practice คลิก
ผมเองได้มา 1 เว็บที่ชอบใจ เพราะเขาบอกวิธีให้เราลงมือฝึกเขียนด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฝึกเขียนโดยเอาแต่ติ๊ก a,b,c,d ซึ่งต่อให้ติ๊กถูกต้องได้คะแนนเต็ม มันก็ยากที่เราจะเขียนเก่งมากขึ้นได้ เพราะการติ๊กนั้นคือการแสดงความเห็นว่า สิ่งที่ผู้อื่นเขียนมานั้น ข้อใดใน a,b,c,d ที่เขียนถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่เราเป็นคนเขียนอยู่นั่นเอง ส่วนการจับคู่ เติมคำที่ให้มาในช่องว่าง หรืออะไรทำนองนี้ ก็ยังไม่ใช่การฝึกเขียนอยู่นั่นเอง
♦ ที่เว็บนี้ครับ
http://www.englishforeveryone.org/Topics/Writing-Practice.htm
♦ ส่วนลิงค์ข้างล่างนี้ เป็นการเรียนหลักแกรมมาร์เพื่อสร้างพื้นฐานในการเขียน
http://grammar.ccc.commnet.edu/grammar/
ก่อนจบเรื่องนี้ ผมขอพูดส่งท้ายเรื่องหนึ่งซึ่งผมคิดว่ามีความสำคัญมากในการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยเรา คือ เราอย่าไปโทษครูเลยครับว่าสอนไม่ดี เพราะครูหรือระบบการสอนที่ไหนก็แล้วแต่มันไม่มีทาง perfect หรอกครับ การสอนจึงไม่สำคัญเท่าการเรียน ถ้าไม่มีการเรียน ต่อให้การสอนดีเลิศเพียงใดก็ไร้ผล และการสอนที่บกพร่องหรือไม่ perfect จะ perfect ขึ้นมาได้ก็เพราะผู้เรียนแต่ละคนเติมให้มันเต็มขึ้นมาเอง ถ้าผู้เรียนคนไทยยังไม่ยอมแก้ไขทัศนคติขั้นพื้นฐานเช่นนี้ เอาแต่โทษครู โทษโรงเรียน โทษฟ้า โทษดิน โทษรัฐบาล โทษบรรพบุรุษไทยในอดีตที่ไม่ยอมยกประเทศให้เป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคมเพื่อที่จะได้เรียนภาษาอังกฤษของเขา ถ้ายังโทษนั่นโทษนี่อยู่อย่างนี้ โอกาสที่จะไปถึงฝันก็คงริบหรี่ครับ
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.