Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

ประโยชน์ของการอ่าน หนังสือนอกเวลา และวิธีการอ่าน ที่ถูกต้อง

penguin  Graded Readers

สวัสดีครับ

หนังสืออ่านนอกเวลาที่ผมรวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านดาวน์โหลดที่บทความนี้

ดาวน์โหลดหนังสืออ่านนอกเวลากว่า 150 เล่ม

ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองของบทความทั้งหมดในเว็บนี้  ซึ่งผมก็ดีใจว่าทำแล้วมีคนนำไปใช้ประโยชน์

วันนี้ผมไปเจอบทความหนึ่งที่เขียนถึง ประโยชน์ของการอ่าน หนังสือนอกเวลา และวิธีการอ่าน ที่ถูกต้อง

ผมเห็นว่า เป็นบทความที่น่าอ่านมาก จึงขอนำมาฝากครับ ข้างล่างนี้ 

พิพัฒน์

**********

ที่มาของบทความนี้

พอดีมีโอกาสได้อ่านเจอบทความๆ หนึ่งเกี่ยวกับวิธีการเรียนภาษาอังกฤษที่ดีโดย คริสติน นัตทอลล์ นักวิชาการชื่อดังที่เคยเขียนหนังสือชื่อ Teaching Reading Skills in a Foreign Language ว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาความรู้ภาษาต่างประเทศ คือ การไปอาศัยอยู่ในสังคมที่ใช้ภาษานั้น .. วิธีที่ดีรองลงมาคือ "การอ่านหนังสือภาษานั้น ให้มากที่สุด" 

เธอ กล่าวต่อว่า "แม้การอ่านภาษาอังกฤษจะเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้เร็วกว่าทักษะอื่น
แต่ คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่า การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาๆ ให้จบเล่ม ต้อง
ใช้ ความพยายามมากเป็นพิเศษ...หรือถึงขั้น ยาก และ น่าเบื่อ สำหรับหลายๆ คน

เธอจึงได้นำเสนอ หนังสืออ่านนอกเวลา (Graded Readers) ซึ่งก็คือ...หนังสือ
ที่แต่งขึ้น หรือ เรียบเรียงใหม่จากหนังสือเล่มอื่น.... ให้ผู้เรียนภาษา ที่สองอ่านโดย
เฉพาะ
 โดยเน้นใช้คำศัพท์พื้นฐานควรรู้หรือใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน และหลักไวยา

กรณ์ ที่มิได้ซับซ้อนจนเกินไป 

ซึ่งหนังสือเหล่านี้มีการ ออกแบบโครงสร้างและเขียนขึ้นโดยใช้ข้อมูลงานวิจัยฐาน
ข้อมูล คำศัพท์และไวยากรณ์
 เพื่อแบ่งหนังสืออกเป็นระดับ ให้มีความยาวของเรื่อง 

จำนวนคำและหัวข้อไวยากรณ์ที่ใช้ในเล่มยากง่าย ต่างจกัน 

เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า หนังสืออ่านนอกเวลาเหมาะสำหรับผู้เรียนระดับต้น เพราะรู้ำ
คำศัพท์เพียง 3,000 คำ ก็เข้าใจเนื้อหาได้ครบถ้วน และ 3,000 คำนั้น ก็พอที่จะ
ทำให้ สามารถนำคำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง..ซึ่งโดยอัตราการรับรู้คำ
ศัพท์ 

(เจ้าของภาษาเอง อย่าง Native American Teenager สามารถเข้าใจและรับ
รู้คำศัพท์ได้จำนวน 20,000 คำ แต่ใน 20,000 คำ......จะมีคำแสลงอยู่มากถึง 
3,000)

เคยมี นักวิชาการท่านอื่นๆ ถามเธอว่า การอ่านหนังสือประเภทนี้ อ่านแล้ว.. เก่งอัง
กฤษ จริงหรือ? 


เธอได้นำเอาผลการศึกษาของเธอที่บ่งถึงปัญหาของการ อ่านว่า ปัญหาการอ่านของ
ผู้เรียนภาษาต่างประเทศคือ รู้ภาษานั้นไม่ดีพอที่จะอ่านจนจับใจความได้ทั้งหมด จึง
ต้องอ่านแล้วแปล ทีละคำ ทำให้เบื่อที่จะอ่าน เพื่อสงเสริมนิสัยการอ่าน...จึงควรเริ่ม
ฝึกฝน โดย เริ่มอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาง่ายและเหมาะกับระดับ ความรู้ของตน 

เธอได้อ้างถึงผลการศึกษาจากนักวิชาการท่าน อื่นๆ ด้วยเช่น ผลการศึกษาการอ่าน
เชิงกว้าง (Extensive reading)....ต่อความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของ
นักศึกษาญี่ปุ่นใน ค.ศ.1999..พบว่าเมื่อวัดผลด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลัง
เรียน ...นักศึกษาที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากขึ้น ความสามารถในการอ่านและ
...ความรู้ด้านคำศัพท์พัฒนาขึ้นมากกว่านักศึกษา ที่อ่านภาษาอังกฤษน้อยกว่าอย่าง
เห็นได้ชัด


จากการศึกษา ของศาสตราจารย์ดอกเตอร์ริชาร์ด เดย์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาวายและ
จูเลียน แบมฟอร์ด เมื่อ ค.ศ. 1998 พบว่า...การอ่านปริมาณมากช่วยให้นักเรียนรู้
คำ ศัพท์ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งศัพท์ที่รู้ความหมายทันทีเมื่อเห็น..(sight vocabulary) 
และศัพท์ทั่วไป ดังนั้น นักเรียนที่ เลือกอ่านหนังสือหลากหลายหัวข้อจึงมีโอกาสเห็น
ศัพท์มากและจำได้โดยไม่ ต้องท่อง 


นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาแม่ ....อ่านหนังสือ
ภาษาอังกฤษเฉลี่ยคนละ 1 ล้านคำต่อปี......ดังนั้น ประเทศญี่ปุ่นจึงริเริ่มโครงการ
Start with simple stories (SSS)
 เพื่อยกระดับความสามารถภาษาอังกฤษ

จาก การอ่าน มีเป้าหมายโครงการคือ ให้นักเรียนญี่ปุ่นที่เรียนภาษาอังกฤษสามารถ
อ่าน ภาษาอังกฤษใน 1 ล้านคำเช่นเดียวกัน.. โดยเน้นให้นักเรียน เริ่มอ่านหนังสือที่
..มีคำศัพท์จำนวนน้อยก่อนและค่อยพัฒนาขึ้นไปอ่าน หนังสือที่ศัพท์จำนวนมากได้
 

และในที่สุดก็จะอ่านได้ 1 ล้านคำภายในเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี 

เธอได้ทิ้งท้ายด้วย 3 กฏง่ายๆ อ่านอย่างไรให้เก่งอังกฤษ ดังนี้คือ
1. เลือกอ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่านจริงๆ เท่านั้น 
2. เปิดพจนานุกรมขณะอ่านให้น้อยที่สุด หรือไม่เปิดเลย ดังนั้นถ้าไม่เข้าใจคำศัพท์
ให้เดาความหมายจากประโยครอบข้าง  หรืออ่านข้ามไปก่อน 
3. ถ้ารู้สึกเบื่อหรือคิดว่ายากเกินไป ให้หยุดอ่าน แล้วเปลี่ยนเล่มใหม่ทันที

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com