Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

ความคิดคำนึงของคน ๆ หนึ่งที่เป็นมะเร็ง

 3NU pic
       ☺เมื่อผมบอกผ่านเว็บ e4thai.com และ Facebook ว่าผมเป็นมะเร็ง หลายท่านส่งข้อความมาแนะนำ, ให้กำลังใจและความหวัง, และอวยพรให้ผ่านโรคร้ายไปได้ ผมขอบคุณทุกท่าน และเชื่อว่าผมได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากเมตตาซึ่งเป็นคาถาที่ท่านอธิษฐานจิตให้
       ☺คำแนะนำของท่านแบ่งออกเป็นเรื่องทางกายกับเรื่องทางใจ ทางกายนั้นแนะนำการปฏิบัติตัว, อาหาร, การพักผ่อน, สถานรักษาโรค, ยารักษาโรค, ผลิตภัณฑ์กินเสริมภูมิต้านทานของร่างกายและต่อต้านโรค, การหาข้อมูลเพิ่มเติม, การศึกษาทางเลือก ฯลฯ บางเรื่องแนะนำตรงกันซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อน ขอบคุณมาก ๆ ครับ ผมน้อมรับทุกคำแนะนำครับ
       ☺ส่วนคำแนะนำทางใจ พร้อมกำลังใจ ความหวัง และคำอวยพรนั้น ผมเชื่อว่า หลายท่านพูดออกมาได้ไม่สาสมกับความปรารถนาดีที่ท่านต้องการบอก ผมขอบคุณมาก ๆ ครับ
       ☺ เรื่องทางกายนั้นผมขอผัดไปคุยวันหลัง วันนี้ผมขอคุยด้วยเรื่องทางใจ มันเป็นความคิดคำนึงของคน ๆ หนึ่งที่เป็นมะเร็ง
       ☺ เมื่อได้ยินว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ผมคงเหมือนกับบางคนหรือหลายคน สองสิ่งแรกที่คิดถึงคือความเจ็บและความตาย แต่แม้คนที่ไม่ได้เป็นมะเร็งก็คงคิดไม่ต่างกันนัก เมื่อผมแจ้งข่าวจึงได้รับกำลังใจทันที ท่านไม่ได้แค่กด Like เฉย ๆ แต่เขียนให้กำลังใจด้วย กว่า 400 คน จากคนที่ส่วนใหญ่ผมไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า ซาบซึ้งครับ
      ☺เวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับการทบทวนเรื่องราวของชีวิต อีกแค่ 2 - 3 เดือนผมก็จะอายุเต็ม 60 ถ้าตายตอนนี้ก็เร็วกว่าอายุเฉลี่ยของชายไทยไปประมาณ 11 ปี (อายุเฉลี่ยของชายไทย คือ 71.8 ปี)
       ☺นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้พูดคุยกับความตาย สองครั้งแรกเมื่อผมอายุ 25 ต้องนอนโรงพยาบาล 3 เดือนด้วยโรคดีซ่าน และเพราะความผิดพลาดของการให้ยาสเตียรอยด์ทำให้โคมาเข้าห้องไอซียู ...โชคดีไม่ตาย หลังจากนั้นก็ตกทะเลจากเรือประมงที่ปากน้ำเมืองระนองเวลาสี่ทุ่ม ว่ายน้ำครึ่งชั่วโมงเข้าฝั่งได้ ...โชคดีไม่ตาย ครั้งที่สามวูบเพราะโรคเบาหวานน้ำตาลลด นั่งก้มหน้าหมดสติไปเฉย ๆ ขณะกำลังผูกเชือกหูรองเท้าในห้องพักโรงแรมเพื่อออกไปสมทบกับเพื่อนที่นั่งกินข้าวช้าวรออยู่ เพื่อนเอะใจทำไมไม่ออกไปกินซะที เข้ามาดูเห็นฟุบจึงรีบแงะนำส่งโรงพยาบาล ...โชคดีไม่ตาย
       ☺ แต่การเฉียดตายทั้ง 3 ครั้งมันมาเร็วไปเร็ว ไม่มีเวลาให้กลัว กังวล หรือเจ็บปวดทรมาน คล้ายกับได้ไปเที่ยวภูเขา ถ้ำ ทะเล เกาะ ที่สวยงาม เที่ยวเสร็จแล้วสิ่งที่เหลือคือความตื่นเต้นและความรู้ที่ไม่มีในตำรา
       ☺แต่การเป็นมะเร็งครั้งนี้ต่างจาก 3 ครั้งแรก เพราะมะเร็งเป็นโรคที่พยากรณ์ไม่ได้ ผมอาจจะอยู่ไปได้จนถึงอายุ 71.8 ปี หรืออาจจะอยู่ได้อีกแค่ 1.8 เดือน หรือ 1.8 ปี บอกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะผลของการรักษาบอกได้มากสุดก็แค่คาดการณ์
       ☺ เวลากลางคืนเงียบ ๆ เช่นนี้ ผมนั่งอยู่คนเดียวในห้องที่บ้าน เมื่อย้อนคิดถึงชีวิตแต่หนหลัง ก็ดีใจที่ตัวเองเป็นคนโชคดีอยู่หลายเรื่อง ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่ พี่สาว น้องชาย ญาติสนิทที่รักใคร่ ตั้งแต่เด็กจนโตผมกินอิ่มนอนอุ่น อยากเล่นได้เล่น อยากซนได้ซน อยากรังแกน้องชายก็ทำได้นิดหน่อยแค่ถูกแม่ตีพอเจ็บก้น และที่น่าจะถือว่าโชคดีมากคือเป็นเด็กนักเรียนบ้านนอกที่หัวดีมาตั้งแต่เด็ก ได้เข้าธรรมศาสตร์ไม่ขยันเรียนแต่ก็จบ ได้อ่านหนังสือมากมายที่หลักสูตรไม่ได้บังคับให้อ่าน ได้ออกค่ายหลายจังหวัดจน ๆ ที่ไม่มีใครบังคับให้ไป เมื่อเรียนจบก็ได้ทำงานที่ตัวเองรัก คือเป็นพัฒนากรทำงานบ้านนอกนาน 10 ปี และย้ายเข้ากรุงเทพทำงานที่ติดต่อกับเมืองนอกใช้ภาษาอังกฤษประมาณ 20 ปี ได้โฉบไปเดินเหินที่ประเทศอื่น ๆ เกือบ 30 ประเทศ ช่วงท้ายของชีวิตกว่า 10 ปีมาแล้วได้ทำสิ่งที่เป็น labor of love คือเขียนบทความลงบล็อกและเว็บแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการศึกษาภาษาอังกฤษ เป็นงานที่ทำได้เพลินและมีความสุขอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษแต่ก็มีหลายคนทนอ่านได้ไม่บ่น และลาออกจากราชการมาทำงานที่ไม่ได้เงินโดยเมียไม่บ่น เธอใจดีบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำไป ... ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถ้ายังไม่นับว่าผมเป็นคนโชคดี ใครล่ะครับถึงจะเป็นคนโชคดี
        ☺โกวเล้งบอกว่า " งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา " นี่เป็นสัจจวาจาจริง ๆ เลิกงานแล้วยังจะนั่งทู้กินต่อเจ้าของงานมาไล่ก็ไม่ยอมลุก อย่างนี้ก็คงไม่เข้าท่า เป็นมะเร็งคราวนี้ผมไม่รู้ว่ามันเป็นงานเลี้ยงที่ต้องเลิกลาหรือเปล่า แต่ขณะนี้ที่เขายังไม่เก็บโต๊ะและยกอาหารมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ ผมก็กินเรื่อย ๆ เหมือนกันแหละ
       ☺ มี 2 คำปลอบใจที่ผมได้รับบ่อย คือ [1] ไม่ต้องคิดมาก และ [2] คิดในแง่บวกเข้าไว้ ... 2 ข้อนี้จะให้ผมตีความยังไง ?
       ☺ ไม่ต้องคิดมาก คือไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งนั้น ถึงเวลากินก็กิน, ถึงเวลานอนก็นอน, ถึงเวลาไปหาหมอก็ไป ทำอะไรที่ช่วยให้ใจครื้นเครง ส่วนคิดบวกก็คือ คิดว่าเราต้องหาย อาการจะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่าไปหมดหวังว่ากูจะแย่ ต้องเจ็บ ต้องปวด ต้องตาย
       ☺ ผมยังสงสัยว่า การคิดอย่างนี้ดีจริงหรือ ? จริงอยู่ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำใจไม่ให้กังวล จะมีผลต่อร่างกายช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา หรือถึงขั้นช่วยลดผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนด้วยซ้ำ แต่ถ้า... (เป็น " แต่ถ้า " ที่ใหญ่มาก) แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ ? คือรักษาแล้วมีแต่ทรงกับทรุด, ทรงกับทรุดตลอดเวลา ไอ้ที่หวังว่าไม่เจ็บก็เจ็บ ไม่คิดว่าจะปวดมันก็ปวด และเมื่อนานวันเข้า ที่หวังว่าจะหาย กลับมีท่าทางว่าจะตายซะมากกว่า ไอ้ที่บอกให้คิดบวกเข้าไว้ มันไม่กลายเป็นเพิ่มความผิดหวังรึ?
       ☺ ในฐานะคนพุทธ ผมเชื่อว่าวิธีการต้อนรับโรคร้ายไม่ใช่การคิดมากหรือคิดน้อย แต่คิดเท่าที่ควรหรือจำเป็นต้องคิด และก็ไม่ใช่การคิดบวก คือคิดว่าต้องไม่ตาย ต้องหายเท่านั้น ก็ในเมื่อปลายทางของโรคมะเร็งมันมี 2 ทาง สมควรหรือที่เราจะหลับหูหลับตา ไม่มองฟ้าไม่มองดิน ยืนยันว่ามีทางหายอยู่ทางเดียว และถ้าถึงวันนั้นที่ความตายมาเยี่ยมถึงเตียง จะไม่กลัวจนร้องไห้รึ
       ☺ เมื่อตอนกลางวันนี้ ตอนที่กินข้าวกับเพื่อน ผมถามเพื่อนว่า เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แล้วคนเรากลัวอะไรมากที่สุด? เราเห็นต้องกันว่า กลัวเจ็บ ถ้ามันตายไปแบบสงบ ๆ โดยไม่เจ็บก็คงจะดี เรื่องนี้เราคงให้ยาช่วยคลายเจ็บได้บ้าง แต่บางทีมันก็ช่วยไม่ได้มาก หรืออาจจะช่วยไม่ได้เลย
        ☺ เมื่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ผมก็ยอมรับสภาพครับ คือรักษาก็รักษากันไปให้ดีที่สุด แต่ผลการรักษาจะเป็นอย่างไรก็ยอมรับ พูดง่าย ๆ ก็คือ หายก็เอา ตายก็เอา แต่ถ้าก่อนตายต้องเจ็บ เจ็บก็เอา แม้ว่าถ้าเลือกได้ ผมอยากหาย แต่ถ้าต้องตาย ก็อยากเลือกตายโดยไม่เจ็บ แต่ถ้ามันเลือกไม่ได้ ก็เอาทั้งนั้นแหละครับ
        ☺ ท่านผู้อ่านเชื่อเรื่องการเกิดใหม่และกฎแห่งกรรมไหมครับ ผมไม่มีญาณให้รู้เรื่องนี้ แต่ผมเชื่อทั้ง 2 เรื่องนี้โดยไม่เคลือบแคลงสงสัยแม้แต่นิดเดียว ทำไมผมถึงเชื่อ ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ น่าจะเป็นเพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้ แม้พระเถระบางท่านจะบอกว่าเราไม่สามารถฟันธงลงไปตามตัวอักษร แต่ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เราฟันธงได้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ได้เลย นอกจากนี้เรื่องราวการสั่งสอนบอกเล่าของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้รู้ผ่านญาณ ก็ยืนยันเรื่องนี้ บางคนอาจจะพูดว่าพระคิดเอาเอง ท่านอาจจะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นไม่ใช่ของจริง แต่ผมก็ยังเชื่ออย่างเดิมว่า ท่านเห็นจริง และสิ่งที่ท่านเห็นก็เป็นของจริง นอกจากนี้จากบันทึกการบอกเล่าของทั้งไทยและฝรั่งที่ไม่จำเป็นต้องโกหก และงานวิจัยของฝรั่งที่ทำอย่างเป็นวิชาการ ก็ยืนยันเรื่องนี้เป็นอย่างดี มีแต่คนที่ปิดหูปิดตาเท่านั้นแหละครับที่ยืนยันว่าการเกิดใหม่ไม่มี ถ้ายังลืมตาอยู่แต่ไม่เชื่อก็ต้องแค่พูดว่าไม่รู้ ผมเองไม่รู้แต่เชื่อ และถ้ามีวันที่ผมใกล้ตายจริง ๆ ก่อนแม่ ผมจะไม่พูดอย่างที่ได้ยินบางคนพูดบ่อย ๆ " ถ้าชาติหน้ามีจริง .... " แต่ผมจะพูดว่า " ชาติหน้าขอมาเกิดเป็นลูกแม่อีก " โดยไม่มีคำว่า " ถ้าชาติหน้ามีจริง "
        ☺ แต่สิ่งที่แยกไม่ออกจากเรื่องการเกิดใหม่ก็คือเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งผมก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยเช่นกัน เมื่อทบทวนตัวเองโดยเอามาตรฐานชาวพุทธเรื่อง " ทาน - ศีล - ภาวนา " มาจับ ผมก็ทำ 3 เรื่องนี้ได้ไม่ดีนัก แต่คิดว่าก็ไม่ถึงกับแย่ ภาษาอีสานเรียกว่าพอกะเทินนั่นแหละครับ คือเรื่องทาน เนื่องจากผมไม่มีกะตังค์เยอะ ก็ได้อาศัยเขียนบทความลงเว็บนี่แหละครับเป็นวิทยาทาน คือทำไปอย่างคนไม่มีเงินและไม่มีความรู้มาก เก็บความรู้จากที่นั่นที่นี่มาฝากท่านผู้อ่าน ไม่ได้ปรุงอาหารเอง เป็นได้แค่คนเสิร์ฟก็เอาแหละครับ, ส่วนเรื่องศีล ผมออกจะภูมิใจว่า การใช้ชีวิตและการทำงานไม่ได้ทำผิดศีลใหญ่โต ที่เป็นการเบียดเบียน เอาเปรียบ ทำร้ายผู้คน รับราชการอย่างสุจริตและไม่คอรัปชั่น เมื่อนึกย้อนหลังก็ไม่มีอะไรที่รู้สึก guilty, ส่วนเรื่องภาวนา ก็ทำได้พอกะเทิน นั่งสมาธิก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ค่อยจะนิ่ง แต่เมื่อมีอารมณ์มากระทบใจก็พยายามมีสติ ทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็พยายามอยู่ ถ้าต้องให้เกรดตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ผมก็ให้เกรด C น่าจะพอสอบผ่าน
        ☺ ด้วยความที่ผมเชื่อเรื่องชาติหน้าอย่างแน่นแฟ้น ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมน่าจะเตรียมตัวตายเพื่อเกิดชาติหน้าด้วย คือผมมาคิดง่าย ๆ ว่า เมื่อผมมาเกิดที่ประเทศไทยนี้อีกครั้งในชาติหน้า พ.ศ. นั้นสังคมไทยจะเป็นอย่างไรนะ ? สิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุด ก็คือการเกิดมาในสังคมที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ เพราะเมื่อมองดูสังคมทุกวันนี้เห็นได้ชัดเลยว่า สิ่งที่กล่อมเกลาแวดล้อมให้เด็ก ๆ มีมิจฉาทิฐิมีอยู่ท่วมสังคม และใน generation ถัดไปที่ผมเกิดมา ผมจะมีภูมิคุ้มกันป้องกันการติดโรคมิจฉาทิฐิมั้ยเนี่ย มันน่ากลัวจริง ๆ เพราะเท่าที่เห็นก็เด่นชัดอยู่แล้วว่า คนมากมายทุกวันนี้มีมิจฉาทิฐิ แต่เขาถูกสังคมกล่อมโดยไม่รู้ตัว เขาทำผิดโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว และ " คนดี " ก็ตำหนิเขา นี่ขนาด พ.ศ. นี้สังคมไทยยังเป็นอย่างนี้ และหลายปีข้างหน้าจะรอดสันดอนหรือ
        ☺ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์อินเดียรุ่นเดียวกับพระพุทธเจ้า สมัยยังทรงเป็นราชกุมาร เคยทรงตั้งความปรารถนาทางธรรมไว้ 3 ประการ คือ (1) ขอให้ได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์ (2)ขอให้พระอรหันต์นั้นทรงแสดงธรรมโปรด และ (3) ขอให้ได้รู้ธรรมของพระอรหันต์นั้น และความปรารถนาของพระองค์ก็บรรลุเมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ผมเองก็ตั้งความปรารถนาทางธรรมไว้เหมือนกัน คือ (1) เกิดขาติหน้าขอให้มีชีวิตที่ใกล้พระรัตนตรัย (2) ได้ฟังธรรมจากพระแท้ตั้งแต่อายุยังน้อย และ (3) ขอให้ได้เข้าใจธรรมะนั้น พอประคับประคองจิตใจได้ไม่ให้มีมิจฉาทิฐิ
        ☺ พอรู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ผมเลยอธิษฐานจิตเลยว่า จิตใจต่อจากนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาอริยสัจ มันน่าแปลกมั้ยล่ะที่ความทุกข์ซึ่งเป็นความจริงข้อ 1 นั้น พระพุทธเจ้าจัดให้เป็น " อริยะ " คือสิ่งประเสริฐ อย่างเช่น ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวด ที่อาจจะยาวนานหลายปีจากการเป็นโรคมะเร็ง มันเป็น " อริยะ " ได้ยังไง ผมบอกตัวเองว่า ผมยอม ผมจะใช้ชีวิตอย่างมีสติ พยายามทำใจให้เป็น " ประภัสสร " รู้เห็นการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ในแต่ละขณะของความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่สงบ ยอมรับ และยิ้มแย้ม ต้อนรับความทุกข์ด้วยความสุขและสันติในใจ นี่คือการเข้า intensive training course ผมเชื่อว่าการอุทิศใจเช่นนี้ จะช่วยให้ผมมีสัมมาทิฐิเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย และถ้าผมตาย ผมหวังว่าสัมมาทิฐิที่ได้รับก่อนตาย จะติดตัวผมไปเกิดในชาติหน้า และช่วยให้มีจิตใจที่ไม่เพี้ยนในชาติโน้น
       ☺ ณ นาทีนี้ อาการปัจจุบันของผมก็คือ แน่นท้อง เพลียบ้าง และเบื่ออาหารนิดหน่อย นอนหลับได้แต่ต้องนอนหงาย ไม่รู้ว่าวันต่อ ๆ ไปจะเป็นอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าตัวเองมีใจที่บึกบึน ยิ้มแย้มและสงบ พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ด้วยจิตใจที่ไม่ห่อเหี่ยวบึ้งตึง
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th   

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com