Home
บันทึกสุดท้าย
เรียนท่านผู้อ่าน
พี่พิพัฒน์เขียนวันที่ 8 เม.ย.แล้วเข้าโรงพยาบาล วันที่ 9
จนกระทั่งเสียชีวิตวันที่ 23 เม.ย.จึงทำให้เขียนไม่จบ
พี่โหยก ภรรยาพี่พิพัฒน์ ส่งมาให้ผมนำมาลง e4thai.com ให้แฟนๆ อ่าน
เพราะเห็นว่าน่ามีประโยชน์สำหรับทุกๆคน
ผมได้ตรวจ และเพิ่มคำบางคำเขียนตกไปเท่านั้น
ประสาร เขียน
19/05/62
#####################################################
วันนี้ผมรู้สึกไม่อยากมีชีวิต
เรื่องที่จะคุยต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คนมะเร็งคนหนึ่งอยากจะบอกชาวมะเร็งด้วยกัน
และบอกเลยไปถึงเพื่อนฝูง
ญาติมิตร และคนนอกที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่มิตร ถึงความรู้สึกของคนมะเร็งคนหนึ่ง
ผมไม่ได้เหมาว่าคนมะเร็งทุกคนรู้สึกนึกคิดอย่างผม
แต่ผมเห็นว่าการเป็นมะเร็งเป็นสถานการณ์พิเศษของชีวิต
จึงควรใช้มาตรการพิเศษรับมือ
ซึ่งรวมถึงการถือโอกาสเช็คสต็อกชีวิตที่ผ่านไปแล้วและชีวิตในอนาคตที่ไม่แน่นอน
ในเรื่องที่เล่านีผ้ มยกตัวอย่างจากชีวิตตัวเอง
ไม่ใช่เพื่อโชว์แต่เพราะมันเห็นชัดดี นี่คือสิ่งที่ผมทำ – คิด – และเชื่อ
ท่านไม่จำเป็นต้องทำ – คิด – หรือเชื่อเหมือนผม ผมเพียงหวังว่า
เรื่องที่ผมเล่าจะช่วยให้ท่านเข้าใจคนไข้
โรคมะเร็งคนหนึ่งมากขึ้น ไม่มากก็น้อย
และบางแง่มุมอาจจะคล้ายกับท่านเองที่เป็นมะเร็ง หรือคนที่ท่านดูแล
[1] เมื่อความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตโผล่ในใจ
จนถึงวันนีค้ รบรอบ 4 เดือนในการเป็นมะเร็ง
เป็นสี่เดือนที่ผมทำสิ่งต่อไปนีม้ ากที่สุดในชีวิต คือกินยาเม็ดมาก
ที่สุดในชีวิตกว่า 2,500 เม็ด รับยาฉีดมากที่สุด
ถูกเข็มเจาะตรวจเลือดให้ยาเลือดที่สุดเป็นร้อย ๆ รู
นั่งรถจกบ้านไปโรงพยาบาลบ่อยที่สุด
ได้รับการตรวจผ่าน x‐ray MRI CT‐scan bone‐scan มากที่สุด
และอีกหลายที่สุดจำไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดอยากตาย
คนเป็นมะเร็งถ้าโคม่าก็เหมือนถูกศาลสั่งประหารชีวิต
ถ้าไม่โคม่าก็เหมือนถูกจำคุก ถ้าอาการดีขึ้น ก็เหมือน
ได้รับการลดเวลาถูกขัง แต่ไม่ว่าศาลจะพิพากษาอย่างไร ผมก็ไม่เคยคิดอยากตาย
ผมเดาว่าหลายคนที่เป็นมะเร็งมานานอาจจะรู้สึกคล้าย ๆ ผม
คือ ถ้าจะต้องตายก็ตายเถอะ แต่ไม่อยากเจ็บ
ก่อนตาย แต่ความอยากนีอ้ อกจะกระโดดไปหน่อย
เพราะเขาให้เราเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เราขอคืนเจ็บเอาแค่ เกิด-แก่-ตาย
เขาคงไม่ยอม แต่แม้ว่าจะเจ็บก่อนตาย ผมก็ยังไม่รีบตาย
อีกอย่างหนึ่งที่คนไร้มะเร็งอาจไม่รู้ คือชาวมะเร็งทุกคนต่างรู้ว่า
มะเร็งเหมือนกับสายลมเรรวน มีอ่อนโยน-ดุดัน
นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป และเป็นพวกไบโพลา
คือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผีเข้าผีออก
เพราะฉะนัน้ อย่าดีใจจังว่าวันนีทุ้เลา
เพราะพรุ่งนี้อาจจะต้องเศร้าใจจังจากอาการทุรนทุรายก็ได้
แต่ทั้งๆ ที่รู้อย่างนี้ผมก็ยังไม่อยากตาย
และอีกอย่างหนึ่งที่คนมะเร็งต่างก็รู้และยอมรับ
คือ ต่อให้มีคนที่รักสุด ๆ มาดูแลอย่างสุดใจ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใจ
ความรู้สึกของเราทุกเม็ด
นิยามในความรู้สึกของคำว่า เจ็บ ปวด ขัด ยอก เครียด ตึง ยามรุนแรงมันแรงจริง ๆ
และแม้ยามไม่รุนแรงแต่อยู่กับเราเหมือนเช่าบ้านถาวร
ก็กลายเป็นรู้สึกรุนแรงได้ เหมือนร่างกายก่อนเป็นมะเร็งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ใหม่
ถอดด้าม ทั้ง สวย-แรง-แกร่ง-ไม่กินน้ำมัน
แต่เมื่อมะเร็งเข้ามาก็แย่งมอเตอร์ไซค์ไป ทิ้งรถจักรยานสองล้อโกโรโกโสให้ถีบ
เหนื่อยด้วยสองขา แม้เรื่องนี้เป็น “ปัจจัตตัง”
ที่คนมะเร็งย่อมรู้ได้เฉพาะตน แต่ผมก็ไม่คิดเลยไปถึง “เอหิปัสสิโก” คือชวน
ใคร ๆ ว่าท่านจงมาเป็นโรคนีด้วยกันเถิด
ก็ผมยังไม่อยากตาย และไม่ยอมชวนคนร่วมโรคมาร่วมตายเป็นเพื่อน
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชาวมะเร็งด้วยกัน ผมน่าจะเฮงมากกว่าหลายคน
ข้างบ้านผมมีคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่ง
เป็นมะเร็งอันเดียวกันและอายุไล่เลี่ยกับผมเลย แต่อาการแย่เพราะตังค์น้อย
ผมมีตังค์มากกว่าเขาหลายบาท
พอไปไหวและก็ไม่คิดจะตาย แม้จะเป็นอย่างข้างบน
แต่วันนี้ผมเกิดความรู้สึกนี้จริง ๆ คือรู้สึกไม่อยากมีชีวิต จิตใจมันเงียบ ๆ เศร้า ๆ
ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนสายลมอ่อน ๆ
แต่ไม่เย็นออกจะแห้งพัดเข้ามาในใจ และพักค้างอยู่ครู่ใหญ่ก่อนค่อย ๆ จางหาย นี่เป็น
ความรู้สึกครั้ง แรกในชีวิต 60 ปี
พอรู้ตัวก็ตกใจตามด้วยแปลกใจ เอ๊ะ! นี่เราหรือวะ? รู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่เป็นกับเขาด้วย นี่ไม่ใช่เรานี่หว่า
[2] ไม่เคยคิดอยากตาย
ผมเคยเล่าไว้ที่ “เรื่องส่วนตัวที่ผมอยากเล่า”
ภาคแรกเรื่องที่ผมเฉียดตาย 3 ครั้ง คือ 1. ตายคาเตียงที่
โรงพยาบาลเพราะโรคดีซ่านแต่พยาบาลให้ยาเกิน
2.ตายคาทะเลเพราะตกเรือประมงตอนดึกที่ปากอ่าวเมืองระนอง โชคดี
ที่ว่ายเข้าฝั่งได้ก่อนหมดแรง และครั้งที่
3.ตายคาห้องพักเกสต์เฮาส์เพราะเบาหวานน้ำตาลลดและวูบ โชคดีเพื่อนแซะตัวไป
ส่งโรงพยาบาลทัน เหตุการณ์ใกล้ตายอย่างนี้นอกจากไม่ทำให้ผมอยากตาย
ยังทำให้ผมกลัวตายอีกด้วย
และผมก็ไม่นิยมแฟชั่นหาความสนุกจากการเสี่ยงตาย
ครั้งหนึ่งในวัยหนุ่มนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนขับ
เป็นมอเตอร์ไซค์เสือหมอบแบบที่เขาใช้ตอนเข้าแข่ง
เขาขี่แบบซิ่งไปได้นิดเดียว ผมต้องตะโกนบวกตะคอกว่า
มึงหยุดเดี๋ยวนี้กูจะลง เชิญมึงไปตายเดี่ยว กูไม่ตายด้วย
เขาถามว่ากลัวตายหรือ ผมตอบเขาไปว่าใช่ ! กูกลัวตาย เชิญมึงไปตาย
เชิญมึงไปตายส่วนตัวตามสะดวก วันนี้ผมนึกถึงเรื่องของตัวเองในวันนั้น
และคิดถึงวัยรุ่นไทยในวันนี้อาจจะมีบางคนตาย
เพราะความใจอ่อนไม่กล้าพูด ยอมติดหลังเพื่อนไปตายโดยไม่ปริปาก
ถ้าผมเป็นพ่อแม่คงเศร้ามาก
ตัวอย่างอีกครั้ง หนึ่งของความขลาดไม่กล้าเสี่ยงตายปนความสนุก
ผมไปเที่ยวนิวซีแลนด์ถึงที่หนึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว
มันเป็นสะพานข้ามหุบเหวลึกระหว่างเขาสูงสองลูกวิวงามตระการตาปานภาพวาด (นี่สำนวนจีนกำลังภายในครับ)
มีจุดให้คนเช่าบริการโดดบันจีจั้มพ์ ผมสนใจทันทีแต่ก็รีรอ
สุดท้ายความกลัวตายมีอำนาจมากกว่า
ถ้าไม่กลัวตายอาจลงท้ายด้วยศพไม่สวย
เล่าให้ฟังเพราะอยากจะบอกว่าผมรักชีวิตมากเพียงใด
ผมเชื่อว่าชาวมะเร็งทุกคนก็รักชีวิตตัวเองเหมือน ๆ กันนี่
แหละ และก็ไม่อยากตาย แต่บางแวบในใจ
ความรู้สึกอยากตายก็เป็นผีโผล่หน้ามาหลอก
[3] ทำไมเกิดความรู้สึกอยากตาย
แต่ทั้ง ๆ ไม่ได้คิดอยากตาย แต่ทำไมจึงแววรู้สึกอยากตายขึ้นมาได้
เรื่องนี้ ไม่ซับซ้อนเลยอธิบายได้ง่ายมาก คือ
พวกเราไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น ตอนแรกเริ่มเป็นอาจจะรู้สึกอย่างนี้ไม่รุนแรง
แต่เมื่อเนิ่นนานขึ้น ก็รู้สึกหนักขึ้น คนดูแล
ที่รักเราอาจไม่รู้สึกว่าเขาต้องรับภาระ
แต่เราเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเป็นเราเป็นภาระของเขา ยิ่งถ้ามีเรื่องเงินให้กังวลยิ่งคิด
มาก ถ้ามีพอเจียดจ่ายไหวก็พอทำเนา
แต่ถ้าเขาต้องลำบากเดือดร้อนขาดเงินใช้ เพราะต้องนำมาใช้เกี่ยวข้องกับการรักษา
โรคซึ่งหลายเรื่องเบิกไม่ได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร
ค่าผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ค่าทำพิธีสะเดาะเคราะห์ขอพรเทพ ฯลฯ
ยิ่งถ้าการรักษายืดเยื้อ ต้องจ่ายต่อเนื่องเป็นแสนเป็นล้าน จะให้เรารื่นเริงได้ยังไง
ปุบปับความคิดแรกก็คงไม่ได้รู้สึกอยากตายหรอก
แต่พอเนิ่นนานไปความรู้สึกอาจจะค่อย ๆ ก่อตัว และถ้าเกิด
ได้เรื่อย ๆ ไม่หยุด ก็อันตรายมาก อันตรายยังไง อันตรายอย่างนี้ครับ เขาไม่ได้ฆ่าตัวตายหรอก
แต่ใจเขาเหี่ยว ไม่มีพลัง ยาและอาหารเสริมค่อย ๆ
ถูกร่างกายปฏิเสธ เคยได้ผลมากก็กลายเป็นได้ผลน้อย
เชื่อฟังคำสั่งของหมอน้อยลง
ดื้อต่อคำแนะนำของญาติที่ดูแลหรือหวังดี
[4] ผมยังตายไม่ได้
ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยของคนเป็นมะเร็งไม่มีใครอยากตาย
อยากหายเร็ว ๆ และถ้าร่างกายเจ็บปวด ผิดเพี้ยน
เพราะโรคหรือแพ้ยา ก็ขอให้ทรมานน้อยที่สุด
เขาพยายามคิดในแง่ดีว่าเขาต้องหาย ไม่ตาย และไม่เจ็บ
เมื่อหายแล้วเขาจะได้เพลิดเพลินกับชีวิตและความสำเร็จได้ดังเดิม
ผมเองก็เหมือนคนอื่น ๆ คืออยากหายเร็วและตายช้า
แต่ผมก็รู้ว่า แม้สมัยนี้ยาดีและหมอเก่งกว่าสมัยก่อน
แต่มะเร็งก็ยังคงเอกลักษณ์ของมะเร็ง คือทำนายอนาคตไม่ได้
และแม้ว่าจะได้รับการรักษาและปฏิบัติตัวอย่างดีที่สุด
ผลก็มีทั้ง 2 อย่าง คือ รักษาหาย และรักษาไม่หาย
การมีความหวังสูงส่งไม่เสื่อมคลายว่าฉันจะต้องหาย แม้ช่วยเสริมกำลังใจ
และประสิทธิภาพการรักษา แต่อะไรที่มันไม่แน่มันก็ยังไม่แน่อยู่นั่นเอง
และถ้าเรายึดมั่นฝังหัวว่ามันต้องแน่และออกมาดี
แต่ถ้ามันไม่แน่และออกมาไม่ดี เราก็จะเจ็บและตายไม่สงบ
เพราะเจ็บอย่างไม่เต็มใจ ตายอย่างไม่เต็มใจ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งญาติมิตรและผู้หวังดีที่พูดกรอกหูเราทุกวันว่า ทำใจดี ๆ ไว้นะ
อย่าท้อ ไม่นานก็หาย เป็นคำปลอบที่ช่วยให้คนไข้อ่อนแอ
ไม่เปิดใจรับความเจ็บ ไม่เต็มใจรับความตาย
ในฐานะชาวพุทธ ผมเชื่อแน่นแฟ้นในกฎแห่งกรรม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหาเงินหรือการรักษาโรค การจะ
ได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ย่อมเป็นผลจากกรรมในปัจจุบันที่ทำแล้วยังพอจำได้
และจากกรรมในอดีตที่ทำนานแล้วจำไม่ได้
และทั้ง หมดก็เป็นกรรมที่เราทำเอง ก็ต้องรับผลด้วยตัวเอง
ผมตั้งจุดในใจไว้อย่างนีตั้งแต่ผมเริ่มเป็นมะเร็ง
และก็เช็คสต็อกชีวิตของตัวเอง และก็ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า
จะใช้ชีวิตทีละวัน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่การทำวันนี้ให้ดีที่สุดคือทำอย่างไรล่ะ?
ยิ่งถ้าส่วนใหญ่ต้องอยู่กับบ้านไปไหนไม่ได้ยังจะทำอะไรได้อีกหรือ ?
มันก็ต้องกลับมาถามตัวเองด้วยคำถามเดิม ๆ
หรือถ้าไม่เคยถามก็ควรเริ่มถามตอนนี้คือ เราเกิดมาทำไม? เรามี
ชีวิตอยู่เพื่ออะไร? สิ่งประเสริฐที่ชีวิตควรได้ก่อนตายคืออะไร?
สำหรับผม คือโอวาทครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ –
สังขารทั้ง หลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยัง
ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ซึ่งท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่า ชีวิตที่ดีที่สุด คือ
ชีวิตที่เยือกเย็นเป็นสุข และเป็นประโยชน์รอบด้าน “
ไม่ว่าชีวิตเราจะอยู่ในสภาพใด
จุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ก็ต้องเป็นอย่างนี้คือทำจิตใจของตนเองให้เยือกเย็น
และเอือ้ เฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ผมดูแล้วก็เห็นว่า
ธรรมะแต่ละข้อที่พระพุทธเจ้าสอนแม้จุดเน้นอาจต่างกัน แต่อานิสงส์
ที่เหมือนกันแน่ ๆ คือ ช่วยทำจิตใจให้สงบสุขและมีเมตตากรุณา
และโดยส่วนตัว ผมดึงบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือทาน-ศีล-
ภาวนา มาเป็นหลักประจำใจในการดำเนินชีวิต
ทาน – แต่ละวันควรได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง
ทำมากไม่ได้ก็ทำน้อย ทำทางกายไม่ได้ก็ทำทาง
วาจา หรือที่ทำได้แน่ ๆ แม้ไม่มีเวลาหรือเงินทองบริจาค ก็คือ
ตั้งใจให้สงบและแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ ซึ่งต้องรวมถึงคนที่
เราเกลียดหรือเกลียดเรา คนที่เอาเปรียบ-เบียดเบียน-ทำร้ายเรา
หรือคนหรือสัตว์ที่ถูกเราเปรียบ-เบียดเบียน-ทำร้าย
บุคคลเหล่านี้คือ “เจ้ากรรมนายเวร” ที่เรารู้จักและควรแผ่ส่วนบุญให้ ก่อน
“สรรพสัตว์” ที่เราไม่รู้จัก คนเป็นมะเร็งให้ทาน
อย่างนี้ได้แน่ ๆ ผมขอใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อจำง่าย ๆ ว่า ทาน คือ help
สำหรับคนไข้โรคมะเร็ง ทานแบบที่พูดนี้ทำได้แน่ ๆ
และบางคนที่มีเงินเหลือเจียดบริจาคได้โดยไม่เดือดร้อน ก็ทำ
เลยครับ เรื่องนี้ผมรู้สึกสะดุดคิดเล็กน้อย
คือดู ๆ ไปแล้วคนไทยเรานี่ก็เป็นคนมีน้ำใจมากอยู่ สังเกตง่าย ๆ ว่าพอใครหรือ
ภาคใดได้รับภัยเดือดร้อน คนในสังคมก็หยิบยื่นความช่วยเหลือ
แต่พอพ้นช่วงรณรงค์หรือออกสื่อ ความช่วยเหลือก็หดหรือ
หาย แต่จริง ๆ แล้วมีคนเดือนร้อนมากมายในสังคมนีที้่สื่อไม่ได้ออกข่าว
เขามีความทุกข์อยู่เงียบ ๆ ส่งเสียงบอกใครไม่ได้
และก็ยังมีหลายกลุ่มคนหรือองค์กรที่สังคมไม่รู้จัก
ทำงานช่วยเหลือคนเดือดร้อนที่สังคมก็ไม่ค่อยรู้จักเช่นกัน ถ้าท่านเป็น
คนไข้โรคมะเร็งที่ต้องการทำบุญให้ทาน ผมว่าน่าจะดีมาก ๆ
ถ้าท่านสามารถหาให้เจอคนหรือกลุ่มคนที่ว่านี้ ผมเชื่อว่าจะ
ได้บุญมากกว่า ไปซื้อปลาเป็น ๆ ซึ่งกำลังจะถูกทุบหัวขายให้ลูกค้าที่ตลาดสดและนำไปปล่อยแม่น้ำ ลำคลอง
ศีล – คือการไม่เอาเปรียบ เบียดเบียน ทำร้ายใคร ด้วยการกระทำและคำพูด
ขอใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ ว่าไม่
harm หรือ hurt ใคร ๆ ทั้งนั้น
แต่คนโรคมะเร็งที่ร่างกายไม่แข็งยังจะมีแรงไปทำร้ายใครอีกหรือ?คือยังจะผิดศีลได้อีก
หรือ? ผิดได้ครับ คือศีลข้อ ๔ ศีลข้อนี้ไม่ควรจะแปลว่า โกหก อย่างเดียว
แต่ควรจะรวมถึงการพูด การเขียน หรือท่าทาง
การแสดงออกทุกอย่าง ที่เป็นการให้ร้าย – โกหก – ยกตน – หยาบคาย – ยุแยง – เพ้อเจ้อ
ผมคิดถึงตัวเองที่เป็นปุถุชน และ
ก็คิดถึงเพื่อนชาวมะเร็งที่เป็นปุถุชนเหมือน ๆ กัน บางครั้ง หรือบ่อยครั้ง
ผมหงุดหงิดหรือถือดี พูดจาล่วงเกินแม้แต่ผู้ดูแลที่
แสนดี และถ้าทำอย่างนี้ไม่หยุดหรือไม่ยั้ง
หรืออาจจะยิ่งมากเพราะร่างกายที่ทรุดโทรมทำให้จิตใจหงุดหงิด ทำให้ทำบาป
ด้วยปากเป็นอาจินต์ นี่หมายความว่ายังไง?
มันหมายความว่ายิ่งเป็นมะเร็งนานเท่าไหร่ยิ่งผิดศีลข้อ ๔ มากเท่านั้น แม้คน
ที่เราพูดออกไปเขาอาจจะไม่ถือสาอภัยให้
แต่การให้อภัยของเขาก็ไม่ได้ทำให้เราบริสุทธิ์ไม่ผิดศีล
ภาวนา – ขอใช้ศัพท์ว่า heart นี่เป็นเรื่องของจิตใจ
คือการทำจิตให้สงบเป็นสมาธิด้วย “สมถะ” และการ ”
มองเห็น” ความรู้สึกนึกคิดที่เกิด-ดับในใจ และปล่อยวาง หรือ “วิปัสสนา”
ในทางปฏิบัติ 2 สิ่งนี้เป็นเรื่องเดียวกัน สงบจิต
เพื่อดูใจ ดูใจจนปล่อยวางและเห็นความสงบ
คนที่จิตใจสงบและปล่อยวางจะเป็นคนเย็นใครเข้าใกล้ไม่ร้อน มีจิตเมตตา-
กรุณาโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องรอให้ใครลุ้นว่ามาทำบุญกันเถิด
และจะไม่ทำบุญเหลวไหลที่หลายแห่งชอบชวนให้ทำ
และผมขอยืนยันว่าคนมะเร็งทุกคนสามารถปฏิบัติเรื่องภาวนาได้แน่ ๆ
ทั้ง ทาน-ศีล-ภาวนา คือทางดำเนินชีวิตที่เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน
อันเป็นอุดมคติที่ทุกคนปฏิบัติได้
เรื่องภาวนาเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันอีกหลายคำ ขอยกยอดไปหัวข้อถัดไปแล้วกันครับ
[5] วางแผนเพื่อการเกิดใหม่ในชาติหน้า
ความเชื่อเรื่องนี้ของผมเป็นเรื่องที่เล่าก็ยาว
ผมจะพยายามพูดให้กระชับแต่กระจ่างท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านนาน
ที่ผมพูดเรื่องนี้ก็เพราะว่า มะเร็งอาจจะทำให้ผมตายเร็ว
เพราะฉะนั้นการเตรียมใจต้อนรับความตาย พร้อม ๆ
กับเตรียมกายรักษาโรคให้หาย จึงน่าจะสมเหตุสมผล
แต่ว่าชีวิตที่เหลือก็ไม่มาก เราก็น่าจะเตรียมตัวเผื่อชาติหน้าด้วย
เหมือนหน่วยงานที่วางแผนทั้ง ระยะสั้นและ
ระยะยาว การวางแผนเพื่อชีวิตในชาติหน้าจึงน่าจะสมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน
แต่เรื่องชาติหน้านี่แหละที่ยากและต้องพูดกันยาว
คนทั่วไปมักไม่เชื่อฟันธงเด็ดขาดลงไปว่า
1. ตายแล้วก็แล้วกันไม่มีอะไรไปเกิด หรือ
2.ตายแล้วไปเกิดแน่ ๆ เมื่อ
เชื่ออย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือเราตายแล้วจะเกิดใหม่หรือเปล่าก็ไม่รู้
เมื่อไม่รู้และรู้ไม่ได้ก็ไม่สนใจดีกว่า ใช้ชีวิตเหมือนแบบ
เกิด – แก่ – เจ็บ – ตาย ‐‐ > จบ.
และพยายามวิ่งหนีความแก่ – ความเจ็บ – ความตาย อย่างไม่คิดชีวิต เพื่อให้ชีวิตจบช้า
ที่สุด แม้แต่พระผู้ใหญ่บางรูป
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดก็รวมท่านอาจารย์พุทธทาสองค์หนึ่ง
ที่สอนว่าไม่ต้องไปสนใจชาติหน้า
หรอก ทำวันนี้ชาตินี้ให้มันดีก็จะได้ดีทันที ณ นาทีที่ทำ
ถ้าชาติหน้ามีจริงสิ่งดีที่ทำไว้ก็จะตามไปด้วย เราไม่ต้องเสียเวลา
ไปพะวงกับมัน แต่ปุถุชนอย่างผมก็รู้สึกอย่างปุถุชน
คือใบไม้ทั้ง ป่าคือเรื่องไร้ประโยชน์พระพุทธเจ้าไม่สอน ทรงสอนเพียงสิ่งที่
จำเป็นเร่งด่วนต่อชีวิตเพื่อการพ้นทุกข์คือใบไม้กำมือเดียวในฝ่ามือของพระองค์
แต่ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะอยากรู้เรื่องที่ไม่สอน ไม่ได้อยากรู้ทุกเรื่องหรอกครับ อยากรู้แค่ 2 เรื่องเท่านั้น
1.ชาติหน้าหรือการไปเกิดใหม่มีจริงหรือเปล่า?
2.กรรมในชาตินี้ตามไปให้ผลในชาติหน้าอย่างไร?
ผมโชคดีที่ไม่รู้สึกสงสัยในข้อ
1. คือผมเชื่อเด็ดขาด 100% ว่าการไปเกิดใหม่ในชาติหน้าเป็นเรื่องจริง พระภิกษุที่
ผมเคารพคือ หลวงพ่อชา
และท่านอาจารย์ชยสาโร ก็พูดยืนยันเรื่องนี้โดยยืนยันด้วยหลักฐานต่าง ๆ มากมายที่น่าเชื่อถือทั้งนั้น
ผมเชื่อว่าชีวิตคือการเดินทางตามกระแสกรรม
การเกิด 1 ครั้ง ก็เหมือนการขึ้นรถสาธารณะจากจังหวัด ก. ไปจังหวัด ข.
จุดตั้งต้นของจังหวัด ก. เมื่อแรกเกิดเราพอรู้อยู่บ้าง
แต่การเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทางคือจังหวัด ข.
เรารู้ได้ยาก ก็คือเราไม่รู้วันตาย แต่รู้ว่าวันตายมาถึงเราแน่ ๆ
เพราะฉะนั้น วันตายก็ไม่ต่างจากนั่งรถสุดสายหรือถึง
ปลายทาง เมื่อไปถึงก็ต่อรถคันใหม่
ความตายแล้วเกิดใหม่ก็คือถึงที่หมายแล้วไปต่อรถที่นั่น มันก็แค่นั้นเอง
ยิ่งถ้ามีทั้ง บุญและปัญญาเป็นเสบียง ยิ่งไม่ต้องกังวล
ขอแทรกแถมสักเรื่องหนึ่งครับ
เมื่อแน่ใจไม่กังขาในเรื่องขาติหน้าเช่นนี้
การวางแผนเพื่อชีวิตเกิดใหม่ในชาติหน้าก็ทำได้อย่างมั่นคง วางแผน
ยังไง? ก็วางแผนเรื่องกรรมที่จะตามไปเกิดด้วย
แต่เราแน่ใจได้ยังไงว่ากรรมจะตามไปเกิดด้วย
แม้ในพระไตรปิฎกจะเขียนไว้ แต่เรารู้ได้ยังไงว่าเป็นคำพูดของ
พระพุทธเจ้า ไม่ใช่อาจารย์ชั้นหลังเขียนอ้างว่าเป็นพุทธพจน์
ถ้าถามอย่างนี้ ผมตอบไม่ได้เพราะผมไม่มีคำถามนี้ให้ต้องคิด
ตอบ ผมเชื่อเรื่องการให้ผลของกรรมจากชาติก่อนมาชาตินี้
ที่พระภิกษุเช่นหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีเล่า
เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อเช่นเดียวกันว่า
ผลกรรมที่ทำในชาตินี้ย่อมตามไปให้ผลในชาติหน้าด้วย
แต่กรรมให้ผลอย่างไร คือเราเชื่อว่ากรรมให้ผลแน่
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลักใหญ่ ๆ เป็นอย่างนี้แต่รายละเอียด
ล่ะเป็นยังไง ผมลองหาอ่านก็พบว่าพระไตรปิฎกกล่าวเรื่องกรรมไว้ละเอียดทีเดียว
แต่ผมอ่านแล้วก็ไม่ซึ้ง คือทราบแต่ไม่ซึ้ง
สิ่งที่จะคุยด้วยต่อไปนี้ไม่ได้บอกว่าผมเป็นผู้รู้
แต่มันเป็นเรื่องที่ผมคิดและเชื่อ
ทำไมจึงคิดแบบนี้และเชื่อแบบนี้นี่ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมนั่งคุยกับผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็น ผอ. กอง
แกพูดถึงลูกชายของนักการเมืองคนหนึ่งของไทยที่
ฝีปากคมมาก ๆ แต่เจ้าลูกชายคนนี้ป็นเพล์บอย
ใช้เงินเต็มมือตามที่พ่อเต็มใจให้ผลาญ และเป็นคนเกะกะละลาน ทำผิด
ถึงขั้นฆ่าคนก็พ้นผิดเพราะพ่อช่วย
ผอ. บอกว่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ทำบุญมาดี สบายโดยไม่ต้องลำบาก ตอนนั้น ผมนึกแย้งที่
ผอ. พูดแต่ไม่รู้ว่าจะแย้งยังไง แต่ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่า ผอ.พูดผิดตรงไหน
คือไอ้เด็กหนุ่มคนนี้อาจจะทำบุญให้ทานมาเยอะจริง
จึงมีเงินทองวัตถุปรนเปรอชีวิตแบบง่าย ๆ แต่คงไม่ได้เจริญ
ปัญญาจึงเกิดมาพร้อมความโง่ ปัญญาทึบ
ใช้เงินทองที่เกิดจากวัตถุทานในชาติก่อน ทำความชั่วในชาตินี้อย่างเต็มมือ
และตามัว พูดง่าย ๆ ก็คือคนอับปัญญาที่เกิดมาพร้อมอุปกรณ์เสริมในการทำความชั่ว
อาจจะทำบาปได้น้อยกว่าคนที่ยากไร้
เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อว่า กรรมที่เตรียมทำในชาตินี้เพื่อชีวิตในชาติหน้า
ต้องมีครบ 2 อย่าง คือ ทำ “ทาน”
เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบาย และ “ภาวนา” เพื่อสะสมปัญญา
ส่วนเรื่อง “ศีล” นั้น ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าอย่าทำผิด เพราะมันคือยา
พิษสร้างผลกรรมอันเป็นพิษต่อชีวิตในทุกชาติ
และในห้วงเวลาประมาณ 5‐6 เดือนที่ผมถูกมะเร็งเล่นงานนี้
ผมเห็นชัดประจักษ์ใจเลยว่า คนเป็นมะเร็งมีโชคที่
คนอื่นไม่มี คือได้รับบทเรียนที่ดีเยี่ยมสำหรับการเจริญภาวนา
เพื่อสร้างและสะสมปัญญา เพื่อชีวิตทั้งในชาตินี้และชาติ
หน้า โดยเฉพาะในชาติหน้าที่เพราะชีวิตในชาติผมขอเน้นเป็นพิเศษ
นี้อาจมีเหลือนิดเดียว
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=93
แต่จะภาวนายังไงให้เกิดปัญญา
พระสอนว่า ปัญญาเกิดจากมองเห็นทุกข์ เห็นความอยาก
และปล่อยวางได้ นี่ก็คือการปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔
นั่นแหละครับ คนไม่เป็นคงไม่รู้ว่า
เพราะโรคนี่แหละทำให้คนมะเร็งเป็นทุกข์และอยากมากกว่าคนธรรมดา เป็นความอยาก
ที่สนองไม่ได้เพราะร่างกายไม่อำนวย
อยากออกไปเที่ยว ไปดู ไปดื่ม ไปฟัง พบปะเพื่อนฝูง กินก็ห้ามเพราะแสลงโรค
อยากจะหายเจ็บเพราะมันเจ็บไม่รู้จักหาย
ถ้าเจ็บน้อยก็รำคาญ ถ้าเจ็บมากก็ทรมาน ถ้าเจ็บนานก็ทรคาญ
พระสอนให้ดูความทุกข์จากความเจ็บกาย
และดูสารพัดความอยากที่เกิดขึ้น ตามมา และปล่อยวางอย่าไปยึด
ผมเชื่อว่าท่านที่เคยฟังพระสอนเรื่องดูจิตดูใจและหัดปล่อยวางมาบ้าง
คงเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่เรื่องของเรื่อง
ของคนเป็นมะเร็งก็คือ ความทุกข์และความอยากมันเกิดบ่อย
เมื่ออารมณ์กระทบใจ มันเป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น
ระหว่างความรู้สึกว่า “กูเจ็บ” กับ “ก็แค่เจ็บ”
ถ้าเผลอใจให้แวบไปว่ากูเจ็บก็เป็นใจของปุถุชนคนมืด แต่ถ้ามีสติคุมใจให้
เห็นว่าก็แค่เจ็บ ก็เป็นพุทธะคนสว่าง เพราะฉะนั้น มันก็ขึ้น อยู่กับว่า
เมื่อทุกข์มากเพราะเจ็บมาก หรือทุกข์น้อยเพราะเจ็บ
น้อยนั้นเราเผลอมากหรือเผลอน้อย ปล่อยวางได้แค่ไหน หรือปล่อยวางไม่ได้เลย
คนมะเร็ง ถ้า “มองโลกในแง่ดี” โดย “มองโรคในแง่ดี”
ก็เท่ากับเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แถมเป็นโอกาสทองซะด้วย
คนมะเร็งโชคดีที่มีบทเรียนล้ำค่าทางธรรมมาให้ศึกษาถึงเตียงคนไข้
ผมเชื่อว่าถ้าตั้งใจฟังครูสอนไม่ใจลอย
ยอมรับความจริงอย่างยิ้ม แย้มและเต็มใจ
ปัญญาซึ่งก่อให้เกิดความสงบจะค่อย ๆ เพิ่มพูนในใจทีละน้อย
เป็นพลังในชาตินี้และเป็นบารมีในชาติหน้า
เมื่อสมัยผมเป็นนักศึกษา ไปเที่ยวสำนักสงฆ์ธรรมรสที่จังหวัดสระบุรี
เจอกลอนบทนีที้่นั่น
***********************
ดั้นด้นค้นคว้าหาสุข
พบทุกข์แทนที่นี่ไฉน
เลิกแสวงสุขหนอพอใจ
สุขซาบซ่านในใจเรา
**********************
อ่านแล้วชอบใจว่ากระชับ ชัดเจนและจำได้ขึ้นใจทันที
แต่ก็ยังงงว่าเมื่อไม่แสวงหาสุขแล้วสุขมันมาได้ยังไง
ณ วันนี้ที่เป็นมะเร็งจึงพอจะเข้าใจบ้างว่า
เมื่อทำใจให้พอและยอมรับมันได้ ยิ้มรับทุกข์ไม่ใช่บึ้งรับ ความสุขสงบก็เกิดได้
ผมเชื่อว่าทุกคนชอบความสะดวกสบาย ตอนทำบุญทำทานช่วยเหลือคนอื่น
แม้จะน้อมใจไปทางธรรมว่าทานนี้
เพื่อลดความเห็นแก่ตัว ลดตัวกูของกู แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องหวังบ้างแหละว่า
ผลแห่งทานที่ทำนี้จะช่วยให้มีชีวิตที่ไม่ลำบาก
ทั้ง ในชาตินี้และชาติหน้า นี่ก็แสดงว่าทุกคนรู้จักวางแผนระยะยาวไปถึงชาติหน้า
แม้บางคนอาจจะแค่คิดเผื่อ ๆ ไว้เพราะ
ใจยังไม่ฟันธงว่าชาติหน้ามีหรือเปล่า
ใจของผมฟันธงมาเนิ่นนานแล้วว่าชาติหน้ามีจริง
การวางแผนเพื่อชีวิตในชาติหน้าจึงหนักแน่น แต่ก็หนักแน่น
ตามประสาปุถุชนไม่ใช่อริยะ เมื่อผมทำบุญทำทานช่วยเหลือคนอื่นด้วยใจจริง
ผมก็หวังว่าบุญนี้จะส่งผลให้ชีวิตสบาย ๆ บ้าง พูดง่าย ๆ ก็คือมีเงินใช้ และต้องมีปัญญาด้วยคือมีเงินใช้และไม่โง่
เมื่อวานนี้พี่สาวของผมเล่าเรื่องให้ฟังว่า
ข้างบ้านของเรามีครอบครัวหนึ่งอดมื้อ กินมื้อ หาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ เมื่อ
ไม่กี่วันนี้ถูกหวยได้เงิน 4,000 บาท เลยพาทั้ง บ้านพ่อ แม่ ลูก
ไปนั่งกินที่ร้านอาหารให้หนำใจ เงิน 4,000 บาทหมดเกลี้ยง
ในวันเดียว แวบแรกที่ได้ฟังผมพิพากษาเลยว่าใช้เงินไม่เป็น
แถมมองเขาในแง่ร้ายเพิ่มเข้าไปอีก 2‐3 อย่าง แต่ผมก็ชะงักว่า
เพราะชีวิตของเขาขาดแคลนขนาดหนัก
จึงยั้งใจยั้งมือไม่ทัน เขาขาดสติไปบ้างแต่ก็ไม่น่าตำหนิ
ที่ผมกลัวมากก็คือการเกิดใหม่สบายแต่โง่นี่แหละครับ
ท่านลองคิดถึงคน 3 ประเภทต่อไปนีที้่ท่านรู้จักหรือเห็น
ตัวตนในสังคม
**************************
[1] มีเงินใช้ แต่ชั่ว
[2] มีเงินใช้ ไม่ชั่ว แต่ไร้น้ำ ใจ
[3] มีเงินใช้ ไม่ชั่ว มีน้ำ ใจ แต่ทุกข์ใจ ปล่อยวางไม่ได้ ทำใจไม่เป็น
*************************
ผมขอว่าไปทีละข้อ
ข้อ [1] มีเงินใช้ แต่ชั่ว– ตัวอย่างที่เห็นชัดมากในสังคมไทยก็คือ
ลูกหลานของคนรํ่ารวยหรือคนมีอำนาจที่ถูก
ตามใจจนเหลิง เมื่อลูกหลานทำผิดก็ช่วย บางรายเช่นนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง
ทำได้แม้แต่ซื้อสื่อไม่ให้ลงข่าว
หรือลงแบบแก้ตัว ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า whitewash
หรือภาษาไทย คือ การฟอกตัว หรือ การกลบเกลื่อน อันที่จริงผม
อยากจะยกตัวอย่างจะจะ แต่กลัวถูกฟ้องจึงขอพูดแค่นี้
ข้อ [2] มีเงินใช้ ไม่ชั่ว แต่ไร้น้ำใจ - คนที่ทำงานเหนื่อย
และใช้เงินที่หาได้เพื่อความสะดวกสบายและเพลิดเพลิน
ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และแม้ว่าเขาไม่ได้ช่วยเหลือใคร ใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าเขา
เพราะเขาอาจจะคิดว่าตอนที่เขาเหนื่อยก็ไม่มีใครเห็นใจช่วยเหลือ
แต่ผมมองอย่างนี้ครับ โลกเรานี้เมตตาคนที่มีกรุณาต่อคนอื่น
และจะหยอดปีติคือความปลาบปลื้ม ลงในใจของ
คนที่ทำทานด้วยใจกรุณาไม่ว่ามากหรือน้อย แม้แต่เทพทั้ง
หลายที่เราไม่เห็นตัวก็จะมองคนที่มีเมตตาด้วยสายตาที่ยิ้มแย้ม
และทุกคนย่อมเคยช่วยเหลือคนอื่นและรู้จักปีติในใจตัวนี้
แต่ทำไมเรามักจะรู้สึกว่าคนไทยเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจ
มีพระผู้ใหญ่หลายรูปวิเคราะห์ว่า
เพราะอำนาจของลัทธิวัตถุนิยมทำให้คนเห็นแก่ตัวและไร้น้ำใจ แต่เท่าที่เห็นก็
ไม่มีบริษัทไหนที่ขายสินค้าและบริการบอกลูกค้าว่าอย่าทำบุญ
และอย่างนี้จะไปโทษบริษัทที่ขายสินค้าก็คงไม่เป็นธรรมนัก
ผมว่าดูง่าย ๆ อย่างนีดี้กว่าครับ คือเมื่อเรามีเงิน
เราติดนิสัยที่จะซื้อมากเกินไป กินมากไป เที่ยวมากไป เล่นมากไป รวมทั้ง
วางแผนและสะสมเงิน ที่จะซื้อ - กิน- เที่ยว-เล่น ในอนาคต
จนเราไม่มีเงินเหลือเพื่อคนอื่นที่ลำบาก
ผมว่าทางออกเรื่องนี้ไม่ยากเลย เราน่าจะมีกระปุกทำบุญตั้ง
ไว้ที่หัวเตียงนอน เมื่อก่อนนอนสวดมนต์เสร็จก็
หยอดเงินลงกระปุกทุกวัน ๆ ละนิด ๆ หน่อย ๆ
เช่น เหรียญ 10 บาท หรือแบงก์ 20 หรือ 50 บาท เมื่อได้โอกาสเหมาะก็
ยกกระปุกนี้ไปบริจาคที่วัดแท้หรือองค์กรที่น่าเชื่อถือหรือคนเดือดร้อนที่เรารู้จัก
เมื่อทำไปเรื่อย ๆ เราจะรู้สึกปลาบปลื้ม
อิ่มใจ เริ่ม “เสพติด” นิสัยทำบุญด้วยปัญญา
เราจะได้รับความสุขแบบใหม่ที่เราให้แก่ตัวเอง
ข้อ [3] มีเงินใช้ ไม่ชั่ว มีน้ำ ใจ แต่ทุกข์ใจ ปล่อยวางไม่ได้ ทำใจไม่เป็น
คงไม่เข้าท่าแน่ ๆ
ถ้าบุญทานที่ผมทำช่วยให้มีเงินใช้ในชาติหน้าแต่โง่
คนมีเงินใช้แต่ไร้ปัญญาทัง้ 3 ประเภทข้างบนนี้มีตัวอย่างให้เราเห็นเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ
การทำงานเป็น webmaster ของเว็บ e4thai.com
นำความรู้ภาษาอังกฤษและธรรมะจากผู้รู้มาเสิร์ฟท่าน
ผู้อ่านนี้บ่อยครั้งที่ผมได้รับคำอวยพรว่า
วิทยาทานที่ให้นี้จะช่วยให้มีปัญญาในชาติอนาคต
เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจนัก เพราะปัญญาที่เอาแต่ให้คนอื่นแต่ไม่ได้ให้ตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาทางใจ
ก็หวังไม่ได้ว่าจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ
ที่โรงพยาบาลซึ่งผมรักษามะเร็ง ทุกชั้น มีชั้น หนังสือให้คนไข้หรือญาติหยิบอ่าน
และผมสังเกตว่าหนังสือธรรมะจะมากกว่าหนังสือประเภทอื่น
แต่ถ้าคนแจกหนังสือธรรมะไม่เคยอ่านธรรมะในใจและนำไปปฏิบัติด้วยตัวเอง
ก็คงได้แค่บุญแต่ไม่ได้ปัญญา การให้ปัญญาแก่คนอื่น
เช่น แจกหนังสือธรรมะก็ให้ได้เป็นครั้ง คราว แต่การให้ปัญญาแก่ตัวเองต้องให้ทุกครั้ง เมื่อ
อารมณ์กระทบใจ มีสติรู้เห็นความรู้สึกนึกคิดและปล่อยวาง
บุญ บาป ที่ทำในชาตินี้จะตามเราไปชาติหน้าตามกฎแห่งกรรม
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความดีที่ทำไว้เอง เป็น
มิตรติดตามตัวไปเบื้องหน้า - สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกํ”
แต่ผมไม่เคยเห็นพุทธพจน์เป็นคำบาลีที่บอกว่า
ปัญญาทางธรรมที่สะสมไว้ในชาตินี้จะตามเราไปชาติหน้าด้วย
ท่านใดเคยเห็นพุทธพจน์บาลีเช่นนี้ช่วยบอกด้วยครับ
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น พวกนี้มากเท่าได เช่น ขี้กังวล เจ้าทุกข์ ขี้มักได้ ใจโหด โกรธง่าย จองเวร ขี้อวด ริษยา ขี้อาฆาต ฯลฯ
ความไร้ปัญญาซึ่งเป็นหนี้สินในใจก็จะตามไปอยู่กับเจ้าของเดิมและความมีปัญญาก็เช่นเดียวกัน
ย่อมเป็นบอดี้การ์ด ตามไปรักษาเจ้านายของมัน
อ่านมาถึงตรงนี้ท่านอาจจะกล่าวหาว่า
ผมคิดมากเกินไป และไม่จำเป็นต้องตระเตรียมอะไรมากมายปานนั้น
ด้วยความเคารพครับ ผมขอเถียงว่า ผมไม่ได้คิดมาก
แต่คิดพอดี ๆ หากแต่ที่พอดี ๆ นั้น มันมีหลายส่วนที่ท่านไม่ได้คิด
หรือไม่เชื่อ ท่านก็เลยหาว่าผมคิดมาก.....................
####################################################################
ขอบพระคุณทุกๆท่าน ครับ
เรียน ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ผมได้รับทราบจากพี่สาวพี่พิพัฒน์ว่า ได้รับเงินช่วยทำบุญราวๆ 3 หมื่นกว่าบาท
และแฟนเพจหลายท่านได้เดินทางไปร่วมงานสวดอภิธรรมและงานฌาปนกิจอีกด้วย
ทางครอบครัวพี่พิพัฒน์ รู้สึกตื้นตันมาก
และฝากให้ผมขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สำหรับเว็บไซต์ e4thai.com
ยังคงจะดำเนินการต่อไปนะครับ
รายละเอียดและแนวทางการทำเว็บไซต์
จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง เร็วๆนี้ ครับ
ขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งครับ
ประสาร
ปล. รูปที่เห็นคือดอนหอยหลอด(ใกล้ๆบ้านพี่พิพัฒน์) ผมถ่ายในวันฌาปนกิจ มันดูเศร้าๆ พิกล
กำหนดการงานพี่พิพัฒน์
เรียน ผู้อ่าน e4thai.com ทุกท่านครับ
กำหนดการงานศพพี่พัฒน์ ตามลิงค์นี้ครับ
สำหรับท่านที่มีความประสงค์ร่วมทำบุญ
สามารถโอนเงินร่วมทำบุญไปที่บัญชีธนาคารของพี่สาวของพี่พิพัฒน์ได้โดยตรงนะครับ
------------------------------
นางปราณี แสงแก้ว
ธนาคารไทยพานิชย์
เลขบัญชี 515-254476-4
-----------------------------
ขอแสดงความนับถือ
ประสาร
การสูญเสีย
เรียน ท่านผู้อ่าน
พี่พิพัฒน์ ได้จากพวกเราไปแล้ว
เมื่อเช้านี้ เวลา 07.09 น. ครับ
สำหรับกำหนดการทางศาสนา
จะแจ้งให้ทราบในโอกาสถัดไป ครับ
ประสาร
อัพเดทอาการพี่พิพัฒน์
เรียนผู้อ่าน เว็บ e4thai.com
อย่างที่ทุกท่านทราบ
พี่พิพัฒน์ได้รักษาตัวด้วยการทำคีโม
เพื่อรักษาโรคมะเร็งมาระยะหนึ่ง
และอาการของโรคโดยรวมดีขึ้นตามลำดับ
เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา
พี่พิพัฒน์ได้เริ่มโปรแกรมคีโมชุดใหม่
แต่ร่างกายอ่อนแอลงมาก
ทำให้มีภาวะติดเชื้อ
ขณะนี้นอนพักรักษาตัวเพื่อให้หายจากอาการติดเชื้อ
อาจจะไม่ได้เขียนบทความลงเว็บสักระยะหนึ่งนะครับ
พี่พิพัฒน์ฝากมาบอกผู้อ่านทุกท่านด้วยความคิดถึง
ประสาร เขียน
(19:50 น. 12 เม.ย. 62)
เรื่องส่วนตัวที่ผมอยากเล่า (ภาค 2 - วัยชรา)
เมื่อ 10 ปีที่แล้วผมได้เขียนเรื่อง "เรื่องส่วนตัวที่ผมอยากเล่า " วันนี้ผมขอเขียนเรื่องนี้ต่อเป็น "ภาค 2 - วัยชรา"
วันที่ 3 ธันวาคม 2561 ผมรับการฉีดคีโมเข็มที่ 1 ช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์ผมทรมานมากเพราะมะเร็ง บนเตียงคนไข้ในขณะนั้นจึงคล้ายชั้นเรียนที่มีครูหน้าดุสอนเรื่องมรณะ
วันนี้ ผมถามหมอตรง ๆ ว่า เชื้อมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา (Multiple Myeloma) ในร่างกายของผมตอนนี้เหลือมากแค่ไหน หมอบอกว่า หลังจากฉีดคีโมไป 16 ครั้ง มันลดไปแล้ว 9 ส่วนเหลือ 1 ส่วน แต่ 1 ส่วนนี่ก็ยังต้องถือว่าเยอะ เรื่องนี้ผมสัมผัสได้ ผลข้างเคียงจากโรคและยาก็คือ ยอก ขัด ตึง เจ็บ ปวด ที่กล้ามเนื้อหรือกระดูกผมก็ไม่แน่ใจนัก บางวันมาก บางวันน้อย แต่บางวันก็ไม่มี อาการมันเกิดตามใจมัน มันไม่ได้ตามใจผม
พูดง่าย ๆ ว่า มะเร็งมาเยี่ยมเมื่อวัยเกษียณ วันนี้ผมอายุ 60 ปีกับ 60 วัน การที่โรคมาเยี่ยมในวัยชราพร้อมของขวัญคือความทรมานเวอร์ชันพิเศษต้องนับว่าเป็นของแปลกใหม่ในชีวิต ผมอ่านบทความใน Wikipedia เขาบอกว่าโรคนี้ รักษาได้ แต่ ไม่หายขาด ถ้าไม่รักษาก็ 7 เดือนตาย ถ้ารักษาด้วยวิธีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็จะอยู่ได้อีกประมาณ 4 - 5 ปี คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยนี้แหละ เฉลี่ยอายุก่อนตายก็ 64 - 65 ปี
ผมได้ความรู้ทางใจหลายอย่างจากคุณครูมะเร็งท่านนี้ ผู้ชายวัยขนาด 60 ที่ชอบภาษาไทยและผ่านประสบการณ์ทางโลกมาพอสมควรอย่างผม ก็อยากจะเล่าอะไรบ้าง ไม่ใช่อยากโชว์ความรู้แต่อยากแชร์ความรู้สึกที่เชื่อว่าอาจเป็นประโยชน์บ้าง ฉันเพื่อนคุยกับเพื่อน
=||= =||= =||= =||= =||=
ผมเป็นคนโชคดีที่ไม่มีลูกและ(ยัง)ไม่มีหนี้ และมีภรรยาที่ตามใจอยากจะทำอะไรก็ให้ทำ เธอมีวาจาสุจริตเป็นปกตินิสัย เท่ากับเธอเป็นครูสอนธรรมะให้ผมโดยไม่ต้องพูดหรือพูดน้อย เคยได้ยินบางคนพูดว่าผู้ชายเราได้ 2 อย่างนี้ก็พอแล้ว คือได้ทำงานที่ชอบ และได้อยู่กินกับผู้หญิงที่รัก ผมโชคดีได้ทั้ง 2 อย่าง
ทุกวันนี้ ผมใช้ชีวิตไปวัน ๆ ซึ่งก็คือใช้ชีวิตทีละ 1 วัน ซึ่งก็คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุขกับวันนี้ให้มากที่สุด แม้เชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่าชาติหน้ามีจริง แต่วันนี้จริงและจับต้องได้มากกว่า ทำอะไรที่อยากทำได้มากกว่า ไม่ต้องรอ
บ่อยครั้งที่นึกทบทวนชีวิตที่ล่วงไปแล้ว เมื่อเช็คสต๊อกก็พบว่า ใน 60 ปีที่ผ่านไปก็ได้ทำอะไรบางอย่างที่ดีพอใช้ คือเมื่อระลึกถึงแล้วชื่นใจ ส่วนที่ไม่ดีหรือไม่น่าชื่นชมก็คงมีหลายอย่างแต่ไม่รุนแรง คือไม่ถึงขั้นน่าประณาม พูดง่าย ๆ ว่าเป็นชีวิตแบบดาด ๆ เกรด C สอบผ่าน ไม่ต้องสอบซ่อมมาก
ผมนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง ความเพียร ๔ อย่าง คืออะไรไม่ดีก็พยายามปิดกั้น, ละ, กำจัด, ส่วนอะไรดีก็พยายามก่อให้เกิดและรักษาไว้ ผมดูแล้วนี่ก็คือ Dos และ Don'ts ของชีวิตนั่นเอง
เช้าวันนี้เวลาตี 4 ผมตื่นขึ้นมา มีความรู้สึกว่า อยากจะใช้เวลาเงียบ ๆ คนเดียวพิจารณาเรื่อง Dos และ Don'ts ของตัวเอง อันที่จริงเรื่องส่วนตัวต้องเก็บไว้กับตัวไม่ใช่นำมาเล่า แต่ที่ผมนำมาเล่าก็เพราะว่า น่าจะมีคนมากมายในวัยเดียวกัน ที่ได้ทำสิ่งไม่ดีที่ไม่ควรทำ คือ Don'ts และ ได้ทำสิ่งดีที่ควรทำ คือ Dos คล้าย ๆ กับผมนี่แหละ ชีวิตของผมที่แชร์ผ่านบทความนี้ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะต่อชีวิตของคนร่วมสังคมร่วมสมัย ผมแอบหวังว่าท่านผู้อ่านอาจจะได้อะไรติดไปบ้าง
เรื่องแรกที่ขอพูดคือเรื่อง Don'ts - เรื่องไม่ดีในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผมควรเลิกได้แล้ว หรือทำให้น้องลง
(1) มีนิสัยและอุปนิสัยบางอย่างที่ผมควรเลิก-ละ ที่ชัดที่สุดคือ พูดมากเกินไป พูดเร็วหรือรีบพูดเกินไป พูดบ่อยเกินไป หรือแม้แต่พูดดังเกินไป โดยเฉพาะเมื่อหงุดหงิดหรือร่าเริงกะทันหัน นี่เป็นเรื่องโต้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็เห็น แต่ทำไมต้องรอให้แก่ถึง 60 ปีจึงได้มาตระหนัก ตอบตรง ๆ ก็น่าจะเพราะประมาท ละเลย ขี้เกียจ สะเพร่า ยิ่งแก่ยิ่งไม่มีใครกล้าเตือน
ผมทำงานรับราชการต่างจังหวัด ช่วง 10 ปีแรกเป็นพัฒนากร สังกัดกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย หลังจากนี้ก็เข้ากรุงเทพ โอนเข้าทำงานสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ทำได้ 22 ปีจนลาออกเมื่ออายุ 55 ปี ได้ทำงานอยู่ 2 กอง คือกองที่รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกองที่รับผิดชอบการส่งเยาวชนไปแข่งขันฝีมือแรงงานระดับอาเซียนและระดับนานาชาติ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ทั้งในการติดต่อทางจดหมาย แฟกซ์ในสมัยก่อน และอีเมลในสมัยหลัง และเข้าร่วมประชุมที่เขาเดินทางมาที่บ้านเรา และกลุ่มของเราที่เดินทางไปประชุมที่บ้านเขา งานที่เล่ามานี้บังคับให้ผมต้องพูดมาก ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งพูดจริงแบบเป็นทางการ และพูดเล่นแบบไม่เป็นทางการ แต่นิสัยรักจะพูดเล่นมีมากกว่า และการพูดเล่นนี้ถ้าพูดมากหรือเร็วเกินไปจะเผลอพูดพลาดได้ง่าย และผมก็พูดพลาดบ่อย ๆ ที่แย่ก็คือบ่อยครั้งถือดีไม่ยอมถ่อมใจว่าตัวเองพูดผิดเพี้ยนหรือพลาด
เรื่องพูดเป็นเรื่องในชีวิตการทำงานที่ผมพลาดมาเยอะ และโดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรซับซ้อน มันเริ่มจากทิฐิความถือดีและใจร้อน พยายามหาเหตุผลมาพูดเอาชนะ ถามว่าทำไมเบื้องต้นจึงใจร้อน ใจร้อนก็เพราะเราไปตั้งอคติไว้ก่อนว่าไอ้คน ๆ นี้หรือท่านนี้ เป็นคนไม่ดีเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเขาเสนอให้เราทำอะไร เราก็มักจะตั้งแง่คัดค้านไม่ยอมรับไว้ก่อน หรือถ้าเราต้องรับคำสั่งก็จะรู้สึกหงุดหงิดอึดอัดไปตลอด เมื่อสายตาไม่สว่างอย่างนี้จึงไม่ได้มองแง่ดี คือคนนั้นเขาก็มีแง่ดีบางแง่ที่เราสามารถเข้าไปพูดคุยสัมพันธ์ได้ หรืองานชิ้นนั้นมันก็มีแง่ดีให้เราเริ่มทำเพื่อทำประโยชน์อื่น ๆ ต่อไปได้ การใจร้อนจึงเป็นการปิดใจ - ปิดตา - ปิดสมอง ปิดหนทางที่จะก้าวเดินต่อไป
แต่แม้จะสรุปเป็นคติอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับวา ผมเป็นข้าราชการที่โชคไม่ดีนัก ได้พบเห็นและสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาที่คอร์รัปชันเป็นกิจวัตร มีทั้งเก็บอาการอย่างมิดชิดและออกอาการอย่างเปิดเผย และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ประเทศไทยยังจ่อมจมอยู่ที่เดิมขยับยากก็เพราะมีทากอาวุโสพวกนี้อยู่เยอะในระบบราชการ และเมื่อต้องทำงานด้วยจึงอดไม่ค่อยได้ที่จะมีอคติ ณ เวลานี้ผมยังคิดไม่ออกเลยว่า ณ เวลานั้้นผมสามารถหรือไม่ที่จะทำอะไรให้ดีกว่านั้น นอกจากรับคำสั่งจากเจ้านายเลว ๆ คำสั่งสีเทาที่ไม่ผิดระเบียบจัง ๆ แต่ก็เบียดบังผลประโยชน์จริง ๆ ที่ควรตกไปสู่ชาวบ้าน
แต่ผมก็ยังยืนยันว่า เรื่องใจร้อน คิดลวก ๆ และปากไว พูดเร็วและพูดมากเกินไป เป็นเรื่องไม่ดี แต่อาการที่เมื่อถึงเวลาควรพูดกลับไม่พูด หงอหรือจำนนต่อระบบที่เลวลึก ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน เมื่อมองดูข้าราชการทุกวันนี้ ผมเห็นว่าเขามีโอกาสทำอะไรได้มากกว่าคนรุ่นผม สิ่งหนึ่งที่เขาทำได้ง่ายกว่า คือ การเป็นนักแฉเรื่องเลวร้ายในองค์กรให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้จัดการ หรือให้สาธารณชนได้รับทราบ ที่ศัพท์ฝรั่งเรียกว่า whistle-blower นั่นแหละครับ แต่ก็ต้องทำอย่างใจเย็น คิดรอบคอบ และพูดรัดกุม อย่าพูดเร็วหรือพูดมากเกินไป อย่าเอาเรื่องที่ไม่แน่ใจ ไม่มีหลักฐาน มาแฉ และถ้าจะเสนอให้สาธารณชนจับตาดูในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็น่าจะเริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกต ไม่ใช่การกล่าวหา สื่อทางสังคม หรือ social media นั้นมีประโยชน์มาก มันเหมือนมีดคม ถือไม่ระวังก็บาดคนอื่นและตัวเองได้โดยไม่รู้ตัว ถ้าใช้ไม่เป็นก็อย่าใช้ ใช่แล้วครับ อย่าใช้ ! ให้ปรึกษาผู้รู้ก่อน คือให้ผู้รู้บอกแนวทางในการแฉความเลวร้ายในองค์กร และเราก็ คิดอย่างใจเย็น ทำอย่างรอบคอบ และพูดอย่างรัดกุม
=||= =||= =||= =||= =||=
ท่านผู้อ่านเคยสังเกตไหมครับว่า ในปุถุชนคนดีสามัญที่ไม่ค่อยได้ทำร้าย เบียดเบียน เอาเปรียบคนอื่นนั้น ในศีล 5 ข้อ คือ ข้อ 1 เว้นจากการฆ่าและทำร้ายร่างกาย, ข้อ 2 เว้นจากการลัก-โกง-เอาเปรียบ, ข้อ 3 เว้นจากการล่วงละเมิดทางเพศหรือของรักของหวงของคนอื่น, ข้อ 4 เว้นจากการเบียดเบียน-ทำร้าย-เอาเปรียบคนอื่นด้วยคำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยการพูดโกหกหรือให้ร้าย, และข้อ 5 เว้นจากการกินเหล้าทำร้ายสติของตนเองจนเป็นเหตุให้ไปทำร้ายคนอื่น, ในศีลทั้งหมด 5 ข้อนี้, ข้อ 4 คนทำผิดมากที่สุด บ่อยที่สุด และมักจะไม่ค่อยรู้ตัวด้วยซ้ำ การให้ร้าย โกหก ยกตน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำกันโดยทั่วไป ด้วยความหวังดี ถือตัว หรือเพลิดเพลิน ตัวอย่างในชีวิตการทำงานของผมเองนี่แหละชัดที่สุด
ก่อนนั้นเมื่อยังทำงานอยู่ในเหตุการณ์บังคับ ผมเคยสงสัยว่าถ้าเเพื่อนใกล้ชิดพูดจานินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลังและคาดหวังให้เราพยักหน้าหรือเอ่ยปากเออออเห็นด้วย ถ้าเราเงียบปากและนิ่งหน้า และทำอย่างนี้แทบทุกครั้ง เป็นไปได้ไหมว่า เขาจะนับเราเป็นพวกน้อยลง หรือหยิบยื่นผลประโยชน์บางอย่างที่คนเป็นพวกมักได้รับให้เราน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่า หรือมีอำนาจในองค์กรมากกว่าเรา
ณ วันนี้ที่เกษียณแม้ไม่อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นแล้ว แต่ผมก็มีคำตอบที่มั่นใจว่าถูกต้อง กล่าวคือ มันเป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ คือ (1)บางคนยอมรับได้ว่าเราเป็นอย่างนี้ (2)แต่บางคนก็ยอมรับไม่ได้ แต่การที่เขาจะยอมรับหรือไม่ยอมรับเรามันไม่สำคัญนักหรอก สิ่งที่สำคัญกว่าและสำคัญที่สุดก็คือ เราสามารถยอมรับตัวเองได้หรือเปล่า ถ้าเราเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า การไม่เบียดเบียน-ไม่เอาเปรียบ-ไม่ทำร้าย คือชีวิตที่มีคุณค่าซึ่งก่อปีติให้ชีวิตเป็นนิตย์ เขาจะพูดอะไรก็เรื่องของเขา เขาจะไม่นับว่าเราเป็นพวกวงในก็เรื่องของเรา แต่ถ้าเราปฏิบัติแบบเดียวกันกับทุกคน ทุกพวกที่ชวนเราเข้าวงนินทา เขาก็ต้องยอมรับในความบริสุทธิ์ของเรา อย่างน้อยก็ในใจของเขา แม้ทางวาจาเขาจะพูดเป็นอย่างอื่นก็เรื่องของเขา เราบังคับปากใครไม่ได้
ตัวอย่างที่คล้าย ๆ กันก็คือ ตอนที่เป็นพัฒนากรต่างจังหวัด ผมถูกชาวบ้านและเพื่อนร่วมงานชวนบ่อยมากให้กินเหล้า ผมไม่กิน ชวนยังไงก็ไม่กิน ถูกแซว ถูกยั่ว ถูกล้อเลียน ก็ไม่ยอมกิน เขาถามว่าทำไมไม่กิน ผมมักตอบว่า (1) ไม่กินเพราะไม่อยาก หรือ(2) ไม่กินเพราะไม่ชอบ หรือ(3)ตอบไปดื้อ ๆ ว่า ไม่กินก็เพราะไม่กิน แต่ผมไม่ยอมพูดว่าเหล้าไม่ดี หรือคนกินเหล้าไม่ดี บางครั้งถูกชาวบ้านขอเงินซื้อเหล้า ผมก็ใจอ่อนให้ไป แต่ไม่บ่อย
แม้ไม่กินเหล้าแต่ก็ทำงานได้ ความตั้งใจทำงานอย่างตั้งใจและสุจริต เป็นโล่ที่แข็งแกร่งในการทำงานในองค์กรหรือในหมู่คณะ ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัวที่หมองด้วยศีล ย่อมทำให้ในใจลึก ๆ เรานับถือตัวเองได้ไม่เต็มที่ หลักที่ต้องจับก็คือ ถ้าเราคนเดียวสามารถนับถือตัวเองได้ ย่อมดีกว่ามีคนอื่นมากมายที่วาจามัวหมองมานับถือ แต่หลักนี้ก็ไม่ต้องจับแน่นเกินไปจนเพี้ยนอย่างผม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมถูกพูดยั่วมากเรื่องไม่กินเหล้า ผมหลุดพูดตอบไปว่า "คุณสมศักดิ์ (นามสมมุติ) ผมเป็นคนดีนะ และผมก็ไม่เขินด้วย ตอนถูกคนชั่วแซว " เรามันบ้ามากเกินไปที่ยัวะตอบเขาไปอย่างนั้น !
หมายเหตุ : เมื่ออ่านถึงบรรทัดนี้ ท่านย่อมสรุปได้โดยไม่ยากว่า สมัยเมื่อทำงานผมไม่ใช่คนวาจาบริสุทธิ์ บ่อยครั้งที่ผมขาดสติกล่าวคำบาปต่อเนื่อง ทั้งพูดให้ร้าย-พูดโกหก-พูดยกตน โดยไม่ผิดกฎหมายแบบที่ใคร ๆ ก็ทำกัน แต่เมื่อนึกถึงคราวใดใจตัวเองก็เดือดร้อนคราวนั้น
=||= =||= =||= =||= =||=
(2) สนใจมากเกินไปกับความรู้หรือข้อมูลที่เป็นส่วนเกินของชีวิต ที่รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะชีวิตมีเวลาจำกัด ทำให้เวลาที่สามารถใช้หาความรู้หรือสิ่งที่จำเป็นมีประโยชน์มากกว่า หดไปอย่างน่าเสียดายและไม่รู้ตัว การ browse ข้อมูลผ่านเน็ตโดยไม่มีเป้าหมายที่ดีพอและเจาะจง คือตัวอย่าง Don'ts ที่ผมทำบ่อย ๆ
การใฝ่รู้อย่างสะเปะสะปะนี้อาจจะเป็นเพราะในช่วงต้นถึงช่วงกลางของชีวิต นอกจากการทำงานหาเลี้ยงตัวเองตามอาชีพ ผมก็ไม่รู้ชัดว่า --> เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เกิดมาทำไม อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดหรือมีคุณค่าสูงสุดของชีวิต <-- เพราะถ้ารู้ก็จะได้แสวงหาความรู้อย่างมีทิศทาง คือความรู้เพื่อชีวิต... ชีวิตที่เพิ่งรู้ว่ามันสั้นนิดเดียว
(3) ความอยากจะเปลี่ยนคน คืออยากจะทำให้คนนั้นคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เราสนิท คนที่เรารักหวังดี ญาติผู้ใหญ่ คนใกล้ชิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยให้เขาเปลี่ยนการกระทำ - คำพูด - ความรู้สึกนึกคิด ทั้ง ๆ ที่เขาเปลี่ยนยากหรือเปลี่ยนไม่ได้เพราะมันแน่นแล้ว ก็ยังจะไปหวังไปพูดให้เขาเปลี่ยน และบ่อยครั้งก็ทำให้หงุดหงิดทั้งตัวเขาและตัวเรา ผมหงุดหงิดที่เห็นว่าเขาเรื่องมาก แต่การที่ตัวเองหงุดหงิดและพูดมากก็เพิ่มคนเรื่องมากขึ้นมาอีก 1 คน คือตัวเองนี่แหละ นี่ก็เป็นอีก 1 Don'ts ที่ผมกำลังฝึกในวัยชรา
(4) เรื่องไม่ยอมรับว่ามีบางสิ่งในโลกนี้ ที่มันต้องเป็นของมันอย่างนั้น เราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ จึงไม่ต้องไปเสียเวลากับมัน ปล่อยว่าง ช่างหัวมัน ไม่ต้องไปสะสางหรือตัดสินทุกเรื่องราวในโลกนี้
เรื่องความอยากจะเปลี่ยนคนหรือเปลี่ยนสิ่งที่เห็นชัดว่าเปลี่ยนไม่ได้ เป็นเรื่องใกล้ ๆ กัน ขอพูดรวม ๆ กันไปแล้วกันครับ
ผมเชื่อว่ามันเป็นกรรมที่ทำให้เราเกิดมาและใช้ชีวิต (1) ร่วมบ้าน (2)ร่วมที่ทำงาน และ(3)ร่วมประเทศ กับคนอื่น และการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นทำให้กระทบใจกลายเป็นรักหรือชัง เราจึงคิดอยากให้คนอื่นเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนคำพูด ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ณ วันนี้ในวัยชราผมได้ข้อสรุปอันเด็ดขาดว่า อย่าไปฝันหวานเลยครับ ย้ายภูเขายังง่ายกว่าเปลี่ยนใจคน และเมื่อเขาไม่เปลี่ยนใจ เขาก็ยังทำเหมือนเดิมพูดเหมือนเดิม เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าต้องอยู่บ้านเดียวกับเขา อยู่ที่ทำงานเดียวกับเขา หรือแม้แต่อยู่ร่วมประเทศเดียวกับเขา เราจะอยู่ยังไงให้ชีวิตพอดำเนินไปได้และใจก็สงบด้วย
ผมขอยกตัวอย่างการสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานเดียวกันซึ่งมีนิสัยตระกูลขี้ที่น่ารังเกียจ คือ ขี้โกง(คอร์รัปชัน), ขี้นินทาว่าร้าย, และ ขี้เกียจไม่รับผิดชอบเต็มที่ในหน้าที่การงานของตนเอง, คนตระกูลขี้เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้องก็น่ารังเกียจทั้งนั้น แต่ถ้าเราต้องทำงานเกี่ยวข้องกับเขาทุก ๆ วัน เราจะทำยังไง
วิธีแก้ต้องแก้ที่ใจเราก่อน คือ ต้องยอมรับว่ามันเป็นกรรมที่นำพาเราและเขาให้มาพบกัน จึงไม่ต้องคิดมาก และเรื่องที่ควรฝึกเป็นนิจก็คือ มองเหตุการณ์อย่างมีความหวัง และ --> มองผู้คนในแง่ดี ให้โอกาส ให้อภัยก่อนใช้อคติตัดสิน <-- พูดอย่างนี้ง่ายแต่ทำคงยากกว่า แต่ผมเชื่อว่าก็พอทำได้ ถ้าเราเป็นคนทำงานอย่างรับผิดชอบและซื่อสัตย์สุจริต เมื่อต้องพูดจากับคนพวกนี้ก็ให้ทำใจเหมือนภูเขา คือสงบ ไม่กลัว และไม่เกลียด พูดด้วยใจเช่นนี้ไม่ว่าเขาจะเป็น เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้อง ถ้าฝ่ามือเราไม่เป็นแผลถึงใครยัดเยียดผงพิษใส่มือก็ไม่ตายหรอก กายวาจาที่สุจริตและใจที่มีเมตตาอภัยจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยทั้งปวง ผมเชื่ออย่างนั้น
ในช่วงชีวิตกว่า 30 ปีที่ทำงาน ผมเสียสุขภาพจิตไปเยอะกับการคิดที่จะให้คนอื่นเปลี่ยนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ วันนี้ คำตอบที่ให้ตัวเองก็คือ อะไรที่ทำไม่ได้ก็อย่าไปคิดทำ แต่ให้เริ่มทำสิ่งดีมีประโยชน์ที่พอจะจับทำได้ เริ่มเล็ก ๆ ตรงนั้นก่อน แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราชอบหรือถนัด แต่ถ้ามันเป็นผลดีต่อประชาชนก็ทำไปเถอะ
เรื่องที่สองที่ขอพูดคือเรื่อง Dos - เป็นเรื่องที่ควร เริ่ม - เร่ง ซึ่งผม Do น้อยเกินไป - Do ช้าเกินไป หรือบางเรื่องยังไม่ได้เริ่ม Do ด้วยซ้ำ
(1) การทำตามมงคล ๓๘ ข้อแรก ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอน เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง 42 คติธรรม – หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ข้อ ที่ ๑. คือคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดี การคบคนดีและไปสู่สถานที่ดี ก็คือมงคลข้อ ๒ และ ๔
การคบคนดีนี้มันมากกว่า การฟังธรรมหรืออ่านคำสอนของพระภิกษุหรือฆราวาสผู้รู้ดีปฏิบัติดี แต่มันหมายถึงว่า ผมควรจะเดินทางไปพบและเห็นหน้าเห็นตาเพื่อฟังท่านพูดด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราได้สอบถาม ใกล้ชิด สนิทสนม เป็นญาติกับชุมชนทางธรรมชาวพุทธ และได้กัลยาณมิตรตัวเป็น ๆ เกิดความกระจ่าง กำลังใจ และความมั่นใจในการปฏิบัติมากขึ้น ผมมักจะแก้ตัวว่ายังไปไม่ได้เพราะไม่มีเวลา แต่ถ้าเป็นกิจกรรมเพลิน ๆ ผมกลับมีเวลาให้แบบไม่ต้องเตรียมตัว แต่เรื่องคบหาบัณฑิตนี้แม้มีเวลาเตรียมตัวกลับติดขัดทุกครั้ง นี่ผมตั้งใจว่าถ้าร่างกายทุเลามากกว่านี้จะเดินทางไปนมัสการพระอาจารย์ชยสาโรที่สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี ปากช่อง โคราช สักครั้ง ผมโชคดีที่วัยนี้ได้พบธรรมะที่ชอบใจที่ท่านสอน หลังจากมีโชคตอนหนุ่มที่ได้อ่านหนังสือธรรมะของท่าน อาจารย์พุทธทาส และหลวงพ่อชา
เรื่องนี้มันก็เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก พิสูจน์ไม่ได้เหมือนกันครับ ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยใกล้จบ ประมาณปี พ.ศ. 2524 -25 ผมได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่โครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (คอส.) ลงไปค้นคว้าเอกสารเก่า ๆ ที่วัดชยาราม อำเภอไชยา สุราษฎร์ธานี ซึ่งเก็บผลงานเก่า ๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาส ได้มีโอกาสเห็นท่านนั่งที่ม้าหินหน้ากุฏิ ได้ยินท่านพูดธรรมะรับแขก ตัวเองก็มีโอกาสได้พูดกับท่านบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องงานที่ทำ และตอนกลางคืนก็ได้ฟังเสียงธรรมเทศนาที่เปิดให้ฟังดังทั่ววัดสวนโมกข์ ผมบอกได้เลยว่าสัมผัสอันเล็กน้อยแต่น่าประทับใจในวัยหนุ่มตอนต้น ที่ได้ใกล้แม้ไม่ชิดมหาปราชญ์ทางธรรมท่านนี้เป็นของจริง และน่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผมสนใจธรรมะมาตั้งแต่นั้น
ท่านล่ะครับ พบธรรมะที่ตัวเองชอบใจ หรือยัง และมีโอกาสเดินทางไปพบนักปราชญ์ผู้สอนธรรมะท่านนั้นบ้างไหมครับ
(2) การทำ list หนังสือที่ควรอ่านก่อนตาย และอ่านให้ได้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่วันนี้ - นี่เป็นสิ่งที่ต้องลงทุนคัดเลือกเพราะมันหลายถึงกำไรทางธรรม อาจจะเริ่มด้วยการอ่านชื่อหน้าปก, อ่านคำนำ, ดูบทต่าง ๆ ในสารบัญ, ลองอ่านคร่าว ๆ และตัดสินใจบรรจุเข้าในบัญชี "หนังสือต้องอ่าน " และเริ่มอ่านไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันนี้ เพราะพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปด้วยเวลาและสายตาไม่อำนวย
เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปีซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเน็ต ผมสะสมหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ ของท่านอาจารย์พุทธทาสไว้เป็นสิบ ๆ เล่ม กะว่าเมื่อแก่ ๆ หรือเกษียณแล้วจะพลิกอ่านให้ครบทุกเล่มทุกหน้า มาถึงวันนี้ผมสายตาฝ้าฟางและเป็นมะเร็ง ยังไม่ได้อ่านจบเพิ่มขึ้นแม้แต่เล่มเดียว
ถ้าถามว่าถ้าไม่อ่านชีวิตจะสูญเสียอะไรไปหรือเปล่า สำหรับผมมันคือการได้ในสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งผมยังไม่ได้รับหรือได้น้อยเกินไป มันคือการ update ธรรมะ เพื่อการ upgrade ชีวิตภายใน ผมเชื่ออย่างนั้น ผมเป็นปุถุชนยังอยากได้ธรรมะเวอร์ชันใหม่ ซึ่งมีทั้งที่ออกมานานแล้วหรือที่ท่านทำออกมาใหม่ ๆ นี่ก็อีก 1 Do ที่ต้องทำ
(3) การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่บางอย่างง่าย ๆ ที่ไม่เสียตังค์มาก ผมก็ยังไม่ได้ทำหรือทำไม่จริงจัง เช่น
- การสวดมนต์ แผ่เมตตาและส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ ผมไม่รู้ว่าจนถึงทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ทางจิตของโลกตะวันตกเข้าถึงเรื่องนี้ได้มาก-กว้าง-ลึก เพียงใด แต่ผมเชื่อว่ามิติทางพุทธเราไปไกลมากมานานแล้ว คำอธิบายของนักปราชญ์ชาวพุทธสมัยนี้อาจจะพอให้คำอธิบายหรือคำตอบได้ แต่การรู้จริงและอานิสงส์ที่จะได้รับต้องใช้ใจสัมผัสเท่านั้น ผ่านการปฏิบัติด้วยตัวเองจริง ๆ
สำหรับผม การสวดมนต์ แผ่เมตตาและส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ เมื่อก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ ทำก็ได้ - ไม่ทำก็ได้ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ ทำก็ได้ - ไม่ทำไม่ได้ และผู้ที่ได้นั้นก็ทั้งตัวเราและสรรพสัตว์ ที่ต้องเปิดใจให้และเปิดใจรับ นี่เป็น Do ที่ต้องใช้ใจล้วน ๆ
- Do อีกอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งมาทำจริงจังมากขึ้นคือการทำสมาธิ ผมเคยท้อเพราะนั่งสมาธิไม่ได้ผล คือถ้าไม่ฟุ้งก็ฟุบ แต่ไม่นานมานี้เพิ่งพบว่าการทำสมาธิแบบเดินจงกรมเหมาะกับตัวเองมากกว่า อันที่จริงการทำสมาธิมีตั้ง 40 แบบ หรือมากกว่า ผมน่าจะขวนขวายให้เร็วกว่านี้หาวิธีที่สมพงศ์กับตัวเอง ผมเชื่อว่าการฝึกสมาธิทุกวันจะช่วยทำจิตใจให้หนักแน่น ปล่อยวาง และร่าเริง
เราได้ยินพระสอนให้ฝึกสติ เห็นการเคลื่อนไหวของความรู้สึกนึกนึกคิดที่เกิด-ดับในจิตใจและก็ให้ปล่อยวาง แต่จิตใจเป็นของละเอียดอาจจะเห็นยาก แต่ถ้าเราฝึกสมาธิให้เห็นการเคลื่อนไหวของกาย คือลมหายใจเข้า-ออก หรือฝ่าเท้าที่ย่างซ้าย-ขวา มันก็จะง่ายขึ้นเยอะทีเดียวในการรู้จัก ดูใจ-เห็นใจ-ทำใจ คือทักษะในการดูกายจะถูกใช้ในการดูใจโดยอัตโนมัติ เรื่องนี้แต่ละคนต้อง ดูเอง-เห็นเอง-ทำเอง ครับ
อีกอย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่าสมาธิช่วยให้สมองขี้หลงขี้ลืมน้อยลง ซึ่งมันอาจจะต่างจากบางวิธีของสมัยใหม่ที่แนะนำให้สมองจดจ่อในกิจกรรมบางอย่าง ซึ่งผมเห็นว่าถ้าเกินพอดีอาจทำให้สมองเครียดหรือตึง แต่สมาธิแบบพุทธถ้าทำอย่างปล่อยวางโอกาสเพี้ยนจะมีน้อยหรือไม่มีเลย
- งาน "จิตอาสา" ที่เป็น labor of love คือหาข้อมูลเพื่อให้คนไทยได้ใช้เรียนและสอนภาษาอังกฤษ ผ่านบล็อกและเว็บที่ผมทำมากว่าสิบปี แม้อาจจะช่วยท่านได้เพียงนิด ๆ หน่อย ๆ แต่มันก็ช่วยให้ผมรู้สึกชื่นใจทุกวัน นี่เป็นการลงทุนทางใจที่คุ้มเกินคุ้ม แต่ผมก็ยังรู้สึกบ่อย ๆ ว่า ผมน่าจะทำอะไรที่รับใช้ท่านได้มากกว่านี้ แต่ทำไมทำได้เพียงเท่านี้ พอจะหาคำตอบก็นึกไปถึงเพื่อนข้าราชการบำนาญคนอื่น ๆ ที่เคยคุยกันก่อนเกษียณในเรื่องนี้ และนี่น่าจะเป็นคำตอบ
=||= =||= =||= =||= =||=
คือตอนที่ยังรับราชการนั้น เราทำอะไรได้หลายอย่างตามหน้าที่ เพราะเรามีพร้อมทั้งตำแหน่งหน้าที่ ลูกน้อง ผู้ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ออฟฟิศ เครื่องมือ อุปกรณ์ งบประมาณ ผู้สนับสนุน ผู้ประสานงาน ฯลฯ แต่พอเกษียณ เราหลายคนเหลือแค่ skill คือทักษะ ความรู้ ความชำนาญ และใจที่จะทำสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น แต่สิ่งสนับสนุนที่เคยมีเคยได้มันหดหรือหายไป จึงทำอะไรได้น้อยหรือไม่ได้เลย แถมบางคนยังมีภาระเรื่องเงินที่ต้องจ่ายเพื่อตัวเอง ครอบครัว ญาติ หรือคนในภาระดูแล หรือความต้องการติดค้างใจยังไม่ได้ชำระเช่นไปเที่ยวต่างประเทศให้หนำใจสักครั้ง
ผมโชคดีที่ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมมากนักในการทำงานจิตอาสา เพราะงานเว็บที่ทำมากว่า 10 ปีนี้สามารถทำ online อยู่กับบ้านได้สบายมาก และที่โชคดีสุด ๆ ก็คือได้ ดร. ประสาร คิดดี เพื่อนรุ่นน้อง ช่วยเป็น Technical Webmaster และได้ภรรยา เป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือทุกเรื่อง
โชคดีอีกอย่างที่เมื่ออายุไม่มากยังแข็งแรงในวัยทำงาน ได้เดินทางท่องเที่ยวมาแล้วแทบทุุกจังหวัดในเมืองไทยและหลายประเทศในโลกนี้ แม้จะแห่งละนิด ๆ หน่อย ๆ แต่มันก็มากพอที่ตอนนี้เมื่อได้ยินใครพูดคุยเกี่ยวกับความสนุกน่าตื่นเต้นจากการไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ใจผมไม่กระเพื่อมเลยหรือกระเพื่อมน้อยมาก รู้สึกว่าแม้มันน่าดู น่าสนใจ น่าตื่นตาตื่นใจ น่าตื่นเต้น แต่มันก็อย่างนั้นแหละ และหลายอย่างก็ ของเทียมปนแท้ หรือจัดฉาก บางครั้งไกด์พาไปดูท่อนไม้เก่า ๆ สักท่อนหนึ่ง ณ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ประเทศหนึ่งในยุโรป มันก็แค่วัตถุเก่า ๆ แต่เขาสามารถพูดจนเรารู้สึกปลื้มใจว่าได้มาเห็นสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเขา คือเขารู้จักพูดเพิ่มคุณค่าเข้าไปในสิ่ง(ที่ผมเห็นว่า)ธรรมดาให้เราทึ่ง
ขออนุญาตเล่าแถมสักนิดนะครับ มีครั้งหนึ่ง ผมไปเที่ยวภูเขาที่ตามโปรแกรมในสูจิบัตรจะมีหิมะให้นักท่องเที่ยวดู แต่เผอิญเราไปถึงก่อนเวลาหิมะยังตกมาแค่หรอมแหรม เขานำเครื่องทำหิมะเทียมพ่นหิมะโปรยใส่ เพื่อให้หิมะเต็มผิวภูเขาทันตามเวลาที่นักท่องเที่ยวมาชม นี่ผมเห็นกับลูกกะตาตัวเอง ผมถึงได้บอกว่า มันจริงแต่มันก็อย่างนั้นแหละ ที่แม่กลองสมุทรสงครามบ้านผม ผมเคยคุยกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและชาวไต้หวันที่เดินทางจากประเทศของเขามาดูตลาดร่มหุบที่สถานีรถไฟแม่กลอง เขาบอกว่าตั้งใจมาดูตรงนี้โดยเฉพาะเพราะได้ดูคลิปยูทูปแล้วตื่นเต้นอยากดูบ้าง แต่ในฐานะเจ้าของบ้าน นี่เป็นสิ่งอันตรายสุด ๆ เพราะดูเหมือนไม่มีใครกลัวรถไฟชนหรือเฉี่ยวเอาเสียเลย อยากจะเดิน ถ่ายรูป เซลฟี่ ซื้อของ ต่อราคาสินค้า หรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบทั้ง ๆ ที่รถไฟมาแล้วหรือกำลังจะมาในไม่กี่วินาที รถไฟต้องกลัวคนไม่ใช่คนกลัวรถไฟ ถ้ามันเกิดอุบัติเหตุถึงตายหรือบาดเจ็บหนัก จนตลาดร่มหุบ กลายเป็นตลาดร่มหัก หรือตลาดร่มเหี่ยว จะว่ายังไง หรือจะรอให้มันเกิดเรื่องก่อน ผมเคยไปเที่ยวสถานที่ซึ่งต้องเดินบันไดลาดขึ้นไปดูสิ่งก่อสร้างคล้ายโดมหรือเจดีย์ที่บางประเทศในยุโรป ได้คุุยกับสถาปนิกคนหนึ่งที่นั่น เขาบอกว่าน่าจะมีการทำราวจับหรือออกแบบทางเดิน เพื่อป้องกันอันตรายเมื่อหิมะตกและพื้นลื่น แต่ก็ไม่ได้ทำ ถ้าเกิดอุบัติเหตุนักท่องเที่ยวไถลลื่นบันไดแข้งขาหักหัวแตกจะว่ายังไง ดูเหมือนทุกประเทศอยากได้เงินจากนักท่องเที่ยวมาก ให้เขาได้เดินและถ่ายรูปได้เต็มพิกัด สรุปก็คือ เมื่อไปเที่ยวก็ตื่นเต้นได้ แต่ก็ระวังบ้าง เพราะเขาอาจจะเล่าให้เราฟังเท่าที่เขาอยากบอก ให้เราเข้าไปดูเฉพาะส่วนที่เขายอมให้ดู และรวมถึงต้อนเราเข้าไปซื้อในสิ่งที่เขาอยากขาย
นี่ก็เป็นโชคดีส่วนตัวที่ผมขอเล่า เพื่ออยากจะบอกว่า ถ้าท่านต้องการทำบุญแบบจิตอาสาเป็นงานประจำในวัยเกษียณท่านต้องเตรียมตัว-เตรียมใจ-เตรียมทักษะ-เตรียมสิ่งของ-เตรียมผู้ช่วยเหลือหรือผู้ร่วมงาน ก่อนเกษียณ ในทำนองที่เล่ามานี้ แต่อาจจะไม่มากเท่านี้ก็ได้ เพื่อนผู้หญิงบางคนของผมชอบทำอาหารหรือขนมพวกเค้กไปถวายพระที่วัด เธอมีความสุขเพราะอิ่มบุญที่ได้ทำ อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายตอนพูดไม่ใคร่ออกทันใจแต่เป็นจิตอาสาสามารถไปร้องเพลงเพราะ ๆ ได้คล่องแคล่วให้คนไข้และญาติฟังที่โรงพยาบาลทุกเดือน เขามีความสุขและผมก็มีความสุขไปกับเขาด้วย นี่ผมกำลังจะบอกท่านว่า บุญประจำที่เราเลือกจะทำในวัยชราหรือเมื่อเกษียณนั้น ถ้าไม่ใช้ labor of love เราอาจจะทำได้แต่มักไม่นาน เพราะฉะนั้นเราต้องหาอันที่เป็น labor of love ที่เรามีความสุขสามารถทำได้นาน ๆ และคนอื่น ๆ ก็จะได้ประโยชน์จากเรานาน ๆ เราต้องตระเตรียมทั้งสิ่งของ ทักษะ และใจ โดยเฉพาะใจที่คิดจะให้ไม่หวังผลตอบแทนนั้นสำคัญที่สุด การที่สังคมไทยยังมีสภาพดีพอทนไหวอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะยังมีคนไทยจำนวนมากยอมเป็นวีรบุรุษ-วีรสตรีนิรนาม ที่ปิดทองหลังพระอย่างเต็มใจและมีความสุขอย่างเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตาก
งานจิตอาสานั้น ผมดูแล้วสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ (1)แจกวัตถุสิ่งของ (2)แจกความรู้ (3)เป็นนักกิจกรรม หรือ activist ที่แจกความคิดเพื่อชักชวนให้คนในสังคมเกิดการกระทำหมู่ โดยเชื่อว่าการทำอย่างนี้จะช่วยทำให้สังคมดีขึ้น อย่างผมเองทำงานเว็บ e4thai.com ก็เป็นจิตอาสาประเภทที่ 2 คือแจกความรู้ เพื่อนของผมบางคนพยายามรวบรวมสิ่งของจากผู้คนที่ใจดีนำไปให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่ก็เป็นจิตอาสาประเภทที่ 1 ผมมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เป็น activist คือจิตอาสาประเภทที่ 3 เขาเก่งมากทำได้ดี ซึ่งงานอย่างนี้ยากเกินไปสำหรับผม
ขออนุญาตย้อนความหลังตามประสาคนแก่สักนิดนะครับ เมื่อเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 2 ผมได้อ่านหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสแปลและเรียบเรียง(อ่านยังไม่จบ) และเจอข้อความข้างล่างนี้ในบทแรก ๆ ที่กล่าวถึงตถาคตหรือพระพุทธเจ้าว่า ....
เกิดขึ้นเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก. เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข ของเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย.
ผมอ่านแล้วรู้สึกเต็มตื้นประทับใจจนล้นอก สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า "จิตอาสา" แต่เด็กนักศึกษาอย่างเราคุ้นเคยกับคำว่า "เพื่อมวลชน " และผมก็บอกกับตัวเองว่า พระพุทธเจ้านี่แหละคือคนที่เกิดมาเพื่อมวลชนโดยแท้ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องพูดว่า พระพุทธเจ้ามี "จิตอาสา" ตั้งแต่ยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ คือตั้งแต่ยังเป็นปุถุชนนั่นแหละ ... ปุถุชนอย่างที่เราทุกคนเป็น ปุถุชนที่สามารถทำงานเป็นจิตอาสาเพื่อมวลชนได้ ... ทำด้วยใจเพื่อช่วยทำให้โลกใบนี้งดงาม
ท่านเองล่ะครับ กะจะทำงาน "จิตอาสา" ประเภทใดและจะทำงานอะไร (ลองคลิกดูที่นี่ก่อนก็ได้ครับ) เตรียมตัวไว้เลยครับ
=||= =||= =||= =||= =||=
วันนี้ เรื่องส่วนตัวที่ผมอยากเล่า (ภาค 2 - วัยชรา) เป็นวันที่ผมมีอายุ 60 ปีกับ 60 วัน ผมไม่รู้เลยว่ามะเร็งที่ผมเป็นอยู่จะอนุญาตให้ผมมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน จึงขอถือโอกาสสวัสดีทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ก่อน เผื่อปุ๊บปั๊บถึงเวลาต้องไปไม่ทันได้ลา
พิพัฒน์
วันอาทิตย์ ที่ 31 มีนาคม 2562
More Articles...
- เมื่อหลวงพ่อชาพูดเรื่องตายแล้วเกิดใหม่
- อ่านทั้ง fiction และ non-fiction ให้ได้ทั้งภาษา ความเพลิดเพลิน และความรู้
- ฟังเรื่องเล่าวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่ประสบความสำเร็จ
- ท่านใดมีไฟล์ pdf หนังสือ "ไทยรบพม่า" โดย สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผมขอครับ
- ครูสอนภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันผ่าน YouTube ที่ผมชอบเป็นพิเศษ
- สันโดษคือความสำเร็จทันทีที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด - ในการฝึก English listening
- วัด/แหล่งศิลปะโบราณเมืองไทย น่าจะเขียนป้ายข้อมูลภาษาอังกฤษง่ายกว่านี้ให้นักท่องเที่ยวอ่าน
- ชวนฝึกอ่านภาษาอังกฤษ : วิตามินรวมและอาหารเสริม ควรกินเมื่อไหร่ - กินยังไง?
- ประสบการณ์ในการสอบอังกฤษชิงทุนไปเมืองนอกกับการเดินจงกรม
- ฝึกอ่าน simple sentence เป็นประจำช่วยให้พูดอังกฤษเก่งขึ้น (ขอยืนยัน)
- Tip ในการพูดภาษาอังกฤษ แต่นึกศัพท์ไม่ออก
- ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา # 1
- ดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บ e4thai ได้แล้วครับ ( 8 กุมภาพันธ์ 2562
- ฝึกแปลศัพท์ ไทย --> อังกฤษ เพื่อเป็นต้นทุนในการพูดและเขียน
- สั่งสอนตัวเองด้วยภาพเมื่อวัยยังแข็งแรง
- ฝึกให้เก่งอังกฤษเหมือนกินยาขม ไม่กินก็ไม่เก่ง
- ปีนถึงแน่ ๆ แม้จะเป็น The Great Hill
- วิธีง่าย ๆ หา eBook ฟรีจากเน็ต และวิธีเริ่มใช้ไม่เก็บเงียบ
- ฝึกภาษาอังกฤษกับช่อง BBC YouTube ดีแน่ ๆ
- วิธีฝึกแปลศัพท์+แปลประโยคพื้นฐาน จากไทยเป็นอังกฤษ เพื่อใช้พูดจริง ๆ